19 ธันวาคม 2550

แนะนำหนังสือน่าอ่าน

เผอิญได้มีโอกาสอ่านหนังสือ 2 เล่ม คือ "สยาม คือบ้านของเรา" กับ "ปีกแห่งไฟ" อดไม่ได้ที่จะต้องนำมาแนะนำในบล็อก





เล่มแรกชื่อ "สยาม คือบ้านของเรา" หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า "Siam Was Our Home" เขียนโดย เอ็ดน่า บรูเนอร์ บัลค์ลีย์ ซึ่งเป็นมิชชันารี ชาวอเมริกัน ที่เข้ามาในประเทศสยามเมื่อสมัยรัชการที่ ๕ ได้จดบันทึกสิ่งที่ได้พบเห็น ความงามของประเทศสยามในอดีตอย่างที่ฝรั่งคนนึงได้ประสบ ได้เห็นวิถีชีวิตของคนสมันเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ถ้าท่านได้อ่านก็จะยิ่งอ่านยิ่งรักบ้านเมือง ทุกวันนี้ชาติเราก็โดนต่างชาติออกข่าวในทางที่ไม่ดีอยู่ตลอด ซึ่งก็มีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วจนต่างชาติมองว่าเราเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน แต่พอแหม่ม (มิสเอ็ดน่า บรูเนอร์ บัลค์ลี่) ได้เข้ามาประสบกับตนเองได้เรียนรู้วิถีของชาวสยาม ความคิดเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม แหม่มรักประเทศสยาม เสมือนเป็นบ้านของตนเอง ซึ่งต่างจากคนไทยบางกลุ่มที่มุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ใส่ตัว ไม่มีความสำนึกในชาติ หนังสือเล่มนี้ได้เล่าเรื่องราวหลายยุคหลายสมัยตั้งแต่สมัยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ไปจนถึงระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อยากรู้เรื่องราวอย่าเป็นอย่างไป ไปหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือ ซีเอ็ด ทุกสาขา หรือที่ se-ed.com





เรื่องที่สอง "ปีกแห่งไฟ" หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า "WINGS OF FIRE" เขียนโดย A P J ABDUL KALAM ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีคนที่ 11 ของประเทศอินเดีย ซึ่งได้เล่าถึงประวัติส่วนตัวตั้งแต่วัยเด็กจนประสบความสำเร็จในชีวิต หนังสือเล่มนี้ท่านผู้อ่านจะได้ทราบถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยของอินเดีย ซึ่งไม่ใช่แค่ทางด้านคอมพิวเตอร์ แต่เป็นทางด้านขีปนาวุธ การพัฒนาจรวดต่าง ๆ ซึ่งทำให้อินเดียสามารถเป็นมหาอำนาจทางด้านนิวเคลียร์ มหาอำนาจทางด้านอาวกาศ ทำไม่ประเทศอินเดียเขาถึงทำได้ ซึ่งต่างกับประเทศเราโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่สามารถพัฒนาอะไรได้เลยมัวแต่หวังผลประโยชน์จากค่าคอมมิชชั่น รถหุ้มเกราะยูเครนตกรุ่นก็ยังจะซื้อ ซื้อไปเสียดายเงินภาษีฉิบโป้ง วิ่งหน้าฝนก็ติดโคลน วิ่งไปซ่อมไป เฮ้ออ เรือดำน้ำก็ยังจะซื้อ ดำไปติดเลน เครื่องบิน บินอยู่ก็มองเห็นแบบนี้โดนระเบิดจมเปล่า ๆ นี่แหละวิถีไทยที่มีผู้นำห่วย ๆ ย้อนกลับมาเรื่องหนังสือต่อ หนังสือเล่มนี้มีเล่าเรื่องที่ประทับใจ และเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระของเคล็ดลับในการบริหารจัดการโครงการใหญ่ๆ ตลอดจนหลักปรัชญาชีวิตที่ลึกซึ้งและกอรปด้วยเมตตา อยากรู้ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร สามารถหาซื้อได้ที่ ศูนย์หนังสือจุฬา หรือ ที่เวปไซด์ chulabook.com

05 พฤศจิกายน 2550

กรุงเทพฯ กับ ชายผู้ที่หนีมาจากเรือนรก

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2550
วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางไปรอบ ๆ กรุงเทพฯ แล้วก็ได้เดินจริง ๆ เมื่อยซะไม่มี
ได้พบเห็นทิวมะขามอันร่มรื่นอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ (จริงเห็นเกือบทุกวัน แต่ทุกวันที่เห็นมีแต่รถติด)


วันนี้อีกได้ก็มีโอกาสไปที่สูง ๆ เดี๋ยวนี้นาน ๆ ที่จะได้ขึ้นที่สูงกับเขา ตั้งแต่ เห็นสภาพฝรั่งตาน้ำข้าวมันโดดตึก 4 ชั้น ลงมาทับรถชาวบ้านพังแถมซี่โครงหักอีกต่างหาก โชคดีไม่ตาย แต่ก็ซวยไหนจะค่าซ่อมรถ ไหนจะค่าดามกระดูก ไหนจะค่าข้าวต้ม ก็ไม่อยากอยู่ที่สูงซักเท่าไหร่




แล้วก็ได้มีโอกาสไปลงนามถวายพระพรในหลวงที่ศิริราช แถมได้มีโอกาสเห็นการซ้อมขบวนเรือพยุหยารตรา แบบชั้นลิงไซด์ (ลิงนั่งยังไงแบบนั้นเลย โหนกิ่งไม้บ้าง เกาะรั้วบ้าง)


จบเรื่องกรุงเทพฯ ไว้แค่นี้ นี่ขนาดเดินเท้าไปเรื่อย ๆ ยังได้พบเห็นความงดงามขนาดนี้ ถ้าขึ้นเครื่องบิน ลงเรื่อดำน้ำ จะสวยขนาดไหน

ย้อนกลับมาเรื่องของชายผู้ที่หนีมาจากเรือนรก
เรื่องมันก็เกิดขึ้น วันเดียวกันกับที่เดินทัวร์กรุงเทพฯ 2 ตุลาคม 2550 ระหว่างเดินขาขวิดตามถนนไปเรื่อย ๆ บังเอิญเจอชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิดคล้ำ ใส่รองเท้าแต๊ะ เดินเข้ามาถามทางที่จะไปสถานีขนส่งเอกมัย ระว่างที่แกถาม ในใจก็คิด เอาอีกแล้วกูโดนอีดแล้วถามทางเสร็จเดี๋ยวมันต้องขอเงินค่ารถแหง๋ๆ (เรื่องนี้โดนมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งที่นึกทีไรแล้วหัวเราะทุกทีไป คือ ไอ้คนที่เคยถาม ๆ แล้วขอเงินมันไม่ดูตาม้าตาเรือ ผ่านไปหกเดือนมันดันกลับมาหากินถิ่นเดิมแล้วดันแจ๊คพอดมาถามซ้ำกับคนที่มันเคยถาม ที่จำได้คือมันถามเส้นทางเดิม เลยนึกได้ แต่เราก็ใช่ย่อย เลยปล่อยมุขเด็ด ๆ ของเราไปแกไม่ถามต่อรีบจ้ำอ้าวไปเลย คำตอบที่ได้เหรอ "คุณนี่มันตั้งหกเดือนแล้วนิยังเดินทางไปไม่ถึงอีกเหรอ")
วกกลับมาที่ชายผู้ที่หนีมาจากเรือนรก พอแกถามทางเสร็จ เราก็บอกทางไปตามเรื่อง พอบอกเสร็จ แกรีบเดินจากไปทันที ไอ้เราก็ยืนงง เฮ้ยคนนี้มาแปลกว่ะไม่ขอค่ารถ ไอ้เราก็นึกขึ้นได้ถ้าเดินไปก็อีกไกลหลายกิโลนี่หว่า ไอ้เราก็เลยเดินตาม แต่พวกเดินไวมาก มาทันเอาตรงสี่แยกในซอย แกไม่กล้าเดินข้ามทั้งๆที่ถนนมีแค่ทางให้รถสวนไปมาได้แค่นั้น ยืนงก ๆ เงิ่น ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ ก็เลยทันกันแล้วก็ยิงคำถามไปว่า จะเดินไปเอกมัยเหรอ เขาก็ตอบมาว่าใช่ครับ
ก็ถามต่อไปว่า ไปทำไมล่ะ เขาก็ตอบมาว่า จะรีบกลับบ้านครับ เอางี้ละกัน งั้นเองเงินค่ารถไป จะได้กลับไวๆ พอยื่นเงินให้ แกก็ไม่รับ
ตานี้ก็เลยงง เฮ้ย มีหยิ่ง ก็เลยยิงคำถามต่อ ว่ามาจากไหน ถึงได้เดินมาถึงนี่ เขาก็บอกว่า เดินมาจาก แถว ๆ สพานพระปิ่นเกล้า ไอ้เราก็ยืนคิด มันเดินมาตรงไหนหว่า (คงข้ามสะพาน มาตาม ถ.ราชดำเนิน ผ่านหลานหลวง ออกเพชรบุรี มาวกเข้า ซอยนานา ทะลุมาเจอเรา เออเข้าเค้า ว่าไม่ได้หลอกเรา)
แล้วก็ยิงคำถามต่อไปว่า อ้าวแล้วไปทำอะไรแถวสะพานพระปิ่นเกล้า เขาก็ตอบว่า ผมหนีมาจากเรือตังเก อาศัยตอนเรือเข้าฝั่ง แล้วก็หนีขึ้นรถสิบล้อมา เขาก็มาส่งที่แถว ๆ สะพานพระปิ่นเกล้า ตอนเช้า ผมก็เดินจะกลับบ้าน
ไอ้เราก็ขี้สงสัย ก็ถามไปอีกไปถึงเอกมัยแล้ว จะกลับยังไง มีเงินค่ารถเหรอ แกก็ตอบกลับมาว่า เดี๋ยวผมก็ขอเขาขึ้นกลับปราจีนบุรี ไอ้เราก็มองนาฬิกา เฮ้ยจะเที่ยงแล้วนี่หว่า ก็เลยชวนเขากินข้าว แกก็ปฎิเสธ บอกว่าจะรีบกลับบ้าน ให้เงินก็ไม่เอา ชวนกินข้าวก็ไม่กิน ในใจก็คิดว่าสงสัยตอนอยู่บนเรือคงโดนมายิ่งกว่านี้เยอะ แค่นี้จิ๊บๆ อดข้าว กับเดินสักสิบ-ยี่สิบกิโล นี่เด็ก ๆ
เอาไหน ๆ ก็ไหน ๆ คุยกันมาตั้งนาน ไม่ทำอะไรเลยก็เสียคนหมดซิว่ะ เลยควักเงินเอาให้เป็นค่ารถ กลับถึงปราจีน เลย ก็ไม่รู้ว่ากี่บาท ให้ไป แต่แกก็ไม่ยอมรับอีก เลยขู่ไปว่า กระเป๋ารถไม่มีเงินซื้อตัวเขาไม่ให้ขึ้น ตานี้ไม่ได้กลับบ้านแน่ ๆ ไอ้เราก็เลยรีบยัดเงินใส่ในมือ แกก็ร้องไห้โฮออกมา แถมไหว้เราอีก ก็เลยเดินไปถามไป เพราะต้องออกจากซอยเพื่อไปถนนสุขุมวิทเหมือนกัน ก็เลยรู้ว่าแกถูกนายหน้าหลอก ไปรับถึงที่บ้าน แล้วเอาไปส่งแถว ๆ มหาชัย แกอยู่บนเรือประมาณสองเดือนกว่าจะหนีมาได้ แล้วคำที่แกพูดอยู่เสมอ ๆ คือ แกไม่มาอีกแล้ว กรุงเทพฯ ไอ้เราก็บอกไปว่า อยู่บ้านนอกนั่นแหละดีแล้ว ไม่รวยแต่ขอให้พอมีพอกิน อยู่กับครอบครัวก็มีความสุขแล้ว ถามอะไรถามได้แต่ดันพลาดท่า ลืมถามชื่อ เลยไม่รู้ว่าชื่ออะไร

วันที่เขียนบทความนี้ แกคงถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข

ไอ้คนชั่วมันก็จ้องหาทางแต่ทำชั่วหลอกลวงผู้อื่นไปเรื่อย ส่วนคนดีคนซื่อก็มักจะถูกคนชั่วหลอกอยู่ร่ำไปถ้ามัวแต่คิดแต่เรื่องของเงิน

16 ตุลาคม 2550

Visual FoxPro 9.0 SP2


รูปภาพที่ท่านเห็นคือ Visual FoxPro 9.0 SP2 ดูตรงกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง
สำหรับภาพนี้คงไม่มีคำบรรยาย

15 ตุลาคม 2550

หนังสือของฉัน

ก่อนหน้านี้ประมาณปี 1996-1997 Internet เริ่มเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย (ก่อนหน้านี้ชาว cyber จะติดต่อกันผ่านทาง bulitin board คุยกัน download program ต่างๆ ผ่านทางโปรแกรม telix) ยุค Internet ในไทยนี่เองที่ทำให้เกิดหนังสือเล่มแรกขึ้นมาประมาณปี 2000 โดยเริ่มแรกประมาณปี 1997-1999 จะเป็นการเขียนบทความเก็บไว้ในรูปของ web page เพื่อให้ผู้สนใจเข้าไปอ่านได้ฟรี แต่ web server ที่นำ web page ไปฝากไว้ล่มเป็นประจำ จนมีอยู่วันหนึ่ง มีเพื่อนๆ ที่คุยติดต่อกันทาง ICQ ได้แนะนำว่าน่าจะนำไปพิมพ์เป็นเล่มให้ผู้สนใจได้อ่าน ในตอนนั้นเองก็ได้ค้นหาและเสนอ ไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ จนกระทั่งคุณหนึ่ง(ชลดา) ได้แนะนำสำนักพิมพ์ ว.เพ็ชรสกุล ให้ได้รู้จัก และหนังสือเล่มแรกก็ได้เกิดขึ้น มีชื่อว่า "เรียนเขียนโปรแกรม Visual FoxPro 6"



ผ่านมากว่า 7 ปีที่หนังสือเล่มแรกของผู้เขียนได้ปรากฎสู่สายตาท่านผู้อ่าน ผู้เขียนก็ได้เขียนตำราอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า "รอบรู้ ประยุกต์ใช้ SQL Server 2005" เพื่อไว้เป็นตำราอ้างอิงสำหรับผู้ที่สนใจใช้งานระบบฐานข้อมูลของ SQL Server เพื่อใช้ในการจัดทำฐานข้อมูลขององค์กร หน่วยงานต่างๆ ซึ่งเล่มนี้ผู้เขียนได้พยายามค้นคว้ารวบรวมคำสั่งคิวรีต่างๆ ไว้มากที่สุด นำเสนอพร้อมทั้งตัวอย่างเพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นภาพและเกิดความคิดเพื่อจะนำไปประยุกต์ใช้งานจริงได้ ซึ่งจะวางจำหน่ายประมาณ เดือน ธ.ค.2007 หรือ ม.ค.2008 หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบรับจากท่านผู้อ่านเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับหนังสือเล่มแรกของผู้เขียน


คลิกเพื่อดูภาพขยาย

สำหรับหนังสือเล่มที่ 3 ขณะนี้กำลังดำเดินการจัดทำต้นฉบับ ชื่อเรื่อง "ล้วงลึก Visual FoxPro 9.0 ฉบับ Client/Server" คาดว่าต้นฉบับจะเสร็จประมาณ ธ.ค.2007 และวางจำหน่ายประมาณ เม.ย.2008

ส่วนโครงการจัดทำตำราในปีหน้า ก็จะมีตำรา "สร้างระบบงานฐานข้อมูลด้วย Visual Basic.Net 2008" และ "สร้างเว็บฐานข้อมูล ASP.Net กับ Visual Studio 2008"

01 สิงหาคม 2550

หนังสืออะไรเอ่ย...ที่ไม่น่าอ่าน...แถมยังน่าเบื่ออีกต่างหาก????

วันนี้ขึ้นจั่วหัวก็เอาอีกแล้ว จริงเท็จอย่างไร ท่านอ่านไปแล้วก็จะรู้เอง
ลองเอาคำถามนี้ถามตัวคุณเองดู อาจจะไม่ได้คำตอบก็ได้!!!
ถามคนรู้จัก ก็บอกว่า ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ว่าไปโน่น
เผอิญบทความนี้ไม่เกี่ยวกับการเมื่อง เลยตอบว่าไม่ใช่แน่นอน

มีหนังสือเล่มนึง ชื่อ "มหัศจรรย์แห่งการอ่าน" โฆษณาให้เขาหน่อย
(เพราะไปแอบอ่านของเขาแล้วไม่ได้ซื้อ)
อ่านมาจนหมดเล่ม แต่จำไม่ค่อยได้ อาจจะผิดบ้างก็อย่าถือสา
เอาสรุปแบ่ย่อๆ ผิดบ้างถูกบ้างจากความจำที่แอบอ่านมา
การที่เราจะทำให้คนรักการอ่าน ต้องปลูกฝังตั้งแต่ทารก
อ่านหนังสือให้เด็กๆ ฟังทุกวัน อ่านซ้ำก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาชอบ
ถึงแม้เขาโตจนเข้าเรียนอนุบาล ประถม ก็ยังต้องอ่านให้เขาฟัง
โดยเฉพาะการเล่านิทาน เด็กจะชอบมาก ให้เล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก
เมื่อเด็กฟัง ก็จะเกิดความคิด เมื่อมีความคิด ปัญญาก็เกิด
เมื่อถึงเวลาที่เข้าเรียน เด็กก็จะมีความสามารถในการอ่าน
ได้เร็วกว่าเด็กที่ไม่มีการปลูกฝัง แถมเด็กพวกนี้ยังรักการอ่าน

จำได้ว่าสมัยเรียน สอบตกตลอด แต่ก็งง?ไม่รู้จบมาได้ไง
เพราะไปเจอหนังสือที่ไม่น่าอ่าน แถมยังน่าเบื่อ
อ่านแล้วต้องจำ จำไปทำไมหว่าตอนสอบก็เปิดเอาได้นิ
ไม่เห็นต้องจำให้มันรกสมอง ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ
ผลเหรอ เรียนไปตกไปเยี่ยมมาก บางวิชาสูตรอะไรเยอะแยะ
ใช้ก็ไม่ได้ใช้แถมยังให้จำอีก คิดในใจน่าจะออกข้อสอบแล้ว
ให้เอาตำราเข้าไปได้ แล้วจะออกสอบอย่างไรก็ไม่ว่า
(อันนี้เข้าข้างตัวเองที่ไม่ยอมอ่านหนังสือ)
ผลเลยได้สอบตก แหม๋ก็อ่านไปแล้ว สมองมันไม่จำนิ
แล้วให้ทำข้อสอบ วิธีทำก็ต้องให้ถูกทั้งวิธีและคำตอบ
ตอนนั้นก็คิดไปว่า เรียนไม่ได้เอาไปใช้ จริง ๆ มันก็ได้ใช้
แต่ใช้แบบทางอ้อม ซึ่งตอนนั้นเป็นเด็ก ๆ ก็อาจยังไม่เข้าใจ
เหมือนเราไม่เข้าใจวัยรุ่นสมัยนี้
วันก่อนได้ฟังข่าว บอกว่าเด็กไทย จบ ป.6 อ่านหนังสือไม่ออก
เออเรายังดีกว่าเยอะเลย ดีที่อ่านออกแต่แค่สอบตกเท่านั้นเอง
สาเหตุเป็นเพราะเหตุใด ท่านผู้ที่เกี่ยวข้องทางด้านการศึกษา
ท่านคงไปหากันอยู่ละมั้งเนอะ เห็นหากันมาหลายสิบปีแล้ว
หาไม่เจอเลย งั้นตอบให้ตรงนี้เลยละกันว่า เป็นเพราะ

"หนังสือไม่น่าอ่าน แถมยังน่าเบื่ออีกต่างหาก"

อ่านแล้วต้องจำ เพื่อเอาไปทำข้อสอบ แล้วสอบให้ได้คะแนนสูง ๆ
เพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงให้ได้
ทำไมไม่ทำหนังสืออ่านแล้วสนุก แล้วอยากอ่านซ้ำอีก
หนังสือวิชาการอ่านเพื่อให้รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน
เวลาสอบ (ก็คือการเอาไปใช้) ก็สามารถเปิดหาดูได้
แล้วออกข้อสอบให้คิดไม่ใช่ให้จำ ไอ้เราคนจำไม่ค่อยได้
สอบไงก็ตก แต่ถ้าให้คิด ๆ อย่างไรก็ได้ขอให้ได้ผลลัพธ์
ที่ต้องการ วิธีการอยู่ที่แต่ละตัวบุคคล คนเราต้องมีความคิด
(แต่อย่างว่าบางคนคำตอบถูกแต่วิธีการผิด เพราะไปลองคำตอบเพื่อนมา)
ต้องมีจิตนาการ รร.กวดวิชา ช่วยให้เด็กที่ไม่อยากอ่านตำราได้ความรู้เพิ่ม
คนที่อ่านมาแล้วก็ได้ทบทวน สรุป ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ต้องอ่าน
อ่านเท่าไหร่ก็จำได้มากเท่านั้น

โลกเปลี่ยนไป จำอย่างเดียวใช้ไม่ได้ ต้องรู้จักค้น รู้จักคิด
โดยเฉพาะรู้จักอ่าน และรักการอ่าน
ก็ขอวอนให้ผู้เกี่ยวข้อง อย่าทำให้หนังสือเรียน เป็น
... หนังสือที่ไม่น่าอ่าน และน่าเบื่อ อีกต่อไป ...
ไม่ใช่หนังสือไม่ดี หนังสือทุกเล่มดีหมด แต่กระบวนการ
ต่างหากที่ทำให้หนังสือนั่นน่าอ่านหรือไม่น่าอ่าน

มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงพอจะทราบคำตอบแล้วล่ะ
แล้ววันนี้ท่านอ่านหนังสือหรือยัง แล้วอย่าลืมอ่านให้ลูกๆ หลานๆ ฟังด้วยล่ะ
(แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ วันนี้ท่านอ่านหนังสือแล้วน่ะ)

25 กรกฎาคม 2550

AS/400 RPG

วีดีโอสำหรับสอน AS/400 (Youtube)
http://www.youtube.com/user/AS400Tutorials/videos?sort=dd&view=0&shelf_id=1

เรียนภาษา RPG
http://www.youtube.com/user/As400Training?feature=c4-feed-a

เรื่อง AS/400ไม่เขียนไม่ได้เพราะถือว่าเป็นผู้ให้เรามีงานมีการทำ จนวันหนึ่งก็ต้องจากไป
หลายคน โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ คงไม่รู้จัก AS/400 มันคืออะไรหว่า ?
ต้องท้าวความตามท้องเรื่องมีอยู่ว่า บริษัคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง เมื่อก่อนยิ่งใหญ่มากๆ
เดี๋ยวนี้ก็ยังใหญ่อยู่ นามว่า International Business Machines Corporation
หรือ เรียกย่อว่า IBM หรือชื่อเล่นว่า บิ๊กบลู (ไม่ใช่บิ๊กบังน่ะ)
ได้พัฒนาและสร้างมันขึ้นมา โดยทำการพัฒนาต่อมาจากเคื่อง Mini Computer รุ่น
System 34, System 36, System 38 เมื่อยุคยี่สิบ-สามสิบปีก่อน
และแล้ว IBM ก็ปฎิวัติโฉมหน้าของวงการด้วยการยกเลิกชื่อรุ่นว่า System
ซึ่งใครๆ ก็กะว่าต้องออก System 40 แต่เจ้าประคุณ ดันเปลี่ยนเป็น
Application System 400 หรือเรียกย่อๆว่า AS/400
ซึ่งถูกผลิตออกมามื่อปี คศ.1988 เจ้านี่ดังระเบิดระเบ้อ
ไม่มีใครในวงการที่ไม่รู้จัก บริษัทใหญ่ๆ ใช้มันแทบทั้งนั้น เหมือนๆ กับในยุคนี้ที่หันมาใช้
ระบบ ERP ตัวดังชื่อ SAP/R3 อ่านว่า แสบ/อาสาม

ย้อนกลับเข้ามาที่เรื่องของ AS/400 ดีกว่า


เครื่องที่เห็นตามรูป คือเครื่องที่ผู้เขียนใช้งานอยู่จนวาระสุดท้ายของมัน
ซึ่งผู้เขียนเองเป็นคนถอดสายไฟที่ต่อกับเครื่องออกเองกับมือ
เป็นอันว่าสิ้นสุดการให้บริการ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2007
ซึ่งให้บริการมายาวนานถึง 18 ปี เพราะเครื่องนี้ซื้อมาเมื่อปี 1989
สเป็กเครื่องนะเหรอ เด็กรุ่นใหม่รู้แล้วคงหัวเราะ
แต่เมื่อแรกซื้อราคานะเหรอขอบอก สิบล้าน
cpu เป็นของ ibm จำได้เลาๆ ว่า 24 บิต ความเร็วน่ะเหรอ ยังสู้ intel 80386 ที่ความเร็ว 30mhz ไม่ได้เลย
ram 40mb ย้ำ สี่สิบเมกกะไบต์ เดี๋ยวนี้ pc ธรรมดาอย่างต่ำๆ ก็ กิ๊กกะไบต์
harddisk ขนาด 8gb อิๆๆ แต่ขอบอกเป็น RAID5 น่ะท่าน ทันสมัยซะไม่มี
tape backup เป็นแบบ ม้วน เหมือนม้วนฟิลม์ฉายหนังสมัยก่อน เขาเรียกว่า reel tape

รูป reel tape


แต่ไม่น่าเชื่อว่า AS/400 สเป็ก แบบนี้ สามารถให้บริการเครื่อง terminal ได้เกือบร้อยตัวในเวลาเดียวกัน
ไม่มีแฮงก์ ไม่มีรวน แต่มีสโลวววว บ้างเป็นบางเวลา คอยได้ คนสมัยก่อนใจเย็น

ในส่วนของภาษาโปรแกรมที่ใช้บน AS/400 ก็มีหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นภาษา C , PL/1 , COBOL, RPG เป็นต้น
แต่ที่ผู้เขียนใช้คือภาษา RPG เมืองไทยนิยมมากสมัยนั้น
เขียนไม่ยาก ได้ผลดี ไม่มีรวน ปัจจุบันภาษานี้ก็ยังมีใช้กันอยู่ตาม ธนาคาร และสถาบันการเงิน หลายแห่ง

มาที่เรื่องระบบไฟล์จัดเก็บข้อมูลหรือเรียกว่าตารางข้อมูล ที่เรียกว่าไฟล์เพราะไม่ได้ใช้ระบบฐานข้อมูลในการจัดเก็บ
ขอบอกว่าสุดยอดจริงๆในเรื่องของความเสถียร ใช้มา 18 ปี ไม่เคยมีไฟล์พังแม้แต่ครั้งเดียว
มีแต่ harddisk พังแต่ RAID5 ซะอย่างทำ mirror ได้สบาย ไม่เหมือนฐานข้อมูลดังๆ
สมัยนี้ พังง่ายกว่าเยอะ
ลักษณะของตารางเก็บข้อมูล รูปแบบเหมืนอ .dbf ยังไงอย่างนั้น มี ฟิลด์ มี เรคคอร์ด มีกำหนดประเภทของข้อมูล
แต่แปลกสมัยก่อนไม่ยักมีข้อมูลแบบวันที่ เหมือนในสมัยนี้ เวลาเขียนโปรแกรมที่มีวันที่เข้ามาเกี่ยวข้องต้องเก็บเป็นตัวเลขแทน
แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะสิ่งเก็บสามารถใช้งานได้เป็นพอ

พูดถึง Operating System ของ AS/400 เขาเรียกว่า OS/400
ก็จะมีภาษาจัดการชื่อ Control Language หรือ CL ไว้เขียนคำสั่งจัดการต่างๆ
แล้วก็มีภาษา REXX ไว้ให้ user สร้าง CL ใช้เอง เมื่อก่อนไฟแรง สร้างคำสั่งไว้หลายตัว

หลายครั้งที่ AS/400 ทำให้เกิดความประทับใจ
มีครั้งนึง ช่างไฟ ใจเกินร้อย ต่อไฟชุ่ย สายดิน ดันมีไฟ 220 วิ่งเข้ามา จอ pc จอ terminal ระเบิดตูมๆๆๆ
UPS ทำงาน ตัดไฟฉับให้วิ่งใช้ไฟผ่าน ups แต่ก็ไม่ทัน เพราะมันเข้าทางสายดิน AS/400 Powersupply เสียไป 1 ตัว
แต่ระบบมันดีมาก มีตัวที่สอง มาช่วยกู้สถานการ์ณ ทำให้มันยังคงทำงานได้ต่อไป

อีกครั้ง ระหว่างนั้งเขียนโปรแกรมไม่รู้ใครไปทำอะไรดึงสายไฟเครื่องออก ทุกอย่างดับหมดโดยทันที
ตายละหว่า กว่าจะคิดกว่าจะเขียนคำสั่งมาได้นั่งเขียนกันเป็นวัน แถมยังไม่ได้ save
พอเปิดใหม่ sign on (หรือ LOG IN , LOG ON แล้วแต่จะเรียก)
AS/400 มันเอาโปรแกรมที่นั่งทำอยู่กลับมาให้เหมือนเดิม เย้ๆๆๆ ต้องของปรบมือให้
มารู้ภายหลังว่ามันมี battery สำรองเล็กๆ ในตัวเครื่อง AS/400 เองหากไฟดับ battery มันจะไม่ดับ
มันจะยังทำงานอยู่ แล้วมันก็จัดการเอาข้อมูลที่อยู่ ใน memory บันทึกลง harddisk
เมื่อเปิดเครื่องเราจึกได้ข้อมูลเก่ากลับมา

เอาล่ะ เขียนมาเรื่อยเปื่อยเพื่อยกย่องความดีของ AS/400 ที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน
นานมากๆ รู้สึกรุ่นนี้จะเป็นเครื่องสุดท้ายที่มีในประเทศไทย เพราะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

ขอให้เจ้าจงนอนอย่างสงบหลังจากที่เหนื่อยมานาน

ภาพ AS/400
ด้านข้าง


ด้านหลัง เปิดดูอุปกรณ์ภายใน




UPS ตัวเก่ง ยี่ห้อ Victron ที่อยู่คู่กันมาสิบสองปี ตอนนี้ถูกเจ้าพ่อวงการไฟฟ้า GE ซื้อไปเรียบร้อย

23 กรกฎาคม 2550

LogMeIn อยู่ที่ไหนๆฉันก็รีโหมดหาเธอได้

ตั้งแต่มี Logmein.com อะไรๆ ก็ง่ายไปหมด ลูกค้าอยู่แดนไกลก็ส่งใจไปหาได้
เราสามารถเข้าไป remote access ที่เครื่องที่ติดตั้ง logimein ได้ทุกที่ทุกเวลา
*ยกเว้นตอนเข้าห้องสุขาขอไว้สักที่ก็แล้วกัน ถ้าจะเข้าไปใช้ในนั้นด้วยก็ไม่มีใครว่า ระวังมันจะส่งกลิ่นไปตามสายไปโผล่อีกที่ล่ะ

ข้อดีของมันเหรอ ไม่ต้องบรรยายให้มาก บอกคำเดียวใช้แล้วดี มีแล้วรวย โอมเพี้ยง

ก่อนอื่นจะใช้งานต้องผ่านขั้นตอนต่างๆดังนี้

Register Logmein
อยากใช้งานก็ต้องไป Register ก่อนที่ http://www.logmein.com (คลิกได้เลย)


ให้คลิกปุ่มเขียวๆ ที่เขียนว่า Download LogMeIn Free ตามรูปด้านบน






















ที่หน้าจอ Access & Control a PC from Anywhere ก็ใส่ตามที่เขาบอกให้ใส่ ๆ แล้วต้องจำไว้ด้วย
เมื่อป้อนเสร็จก็คลิกปุ่ม GO จากนั้นจะขึ้นหน้าจอ Add Computer
ให้รีบคลิกตรง คำว่า click here โดยด่วน เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน ตามรูปด้านล่าง

















เมื่อคลิกเรียบร้อยจะขึ้นหน้าจอ Add Computer อีกหน้าจอนึง ตามภาพด้านล่าง

ให้คลิกที่ปุ่ม Download Now



















อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงสงสัยตั้งแต่ก่อนหน้าที่ให้รีบคลิก แล้วตรงนี้ก็ให้มา download now อีก
เหตุผลก็คือ เราจะไม่ลงโปรแกรมที่เครื่องเราเอง ตัวที่ให้ Download นี้ต้องนำไปลงในเครื่องที่ต้องการ remote เข้าไปน่ะจะบอกให้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ลองทำดูได้ เครื่องตัวเอง ทำ remote เข้าเครื่องตัวเอง
ผลที่ได้คือ เจ๊ง หน้าจอจะเป็นเหมือนกระจกเงาสะท้อนไปมา แบบนี้ชอบไหมล่ะ

เมื่อคลิก Download Now แล้วก็จะมีหน้าต่างให้เราทำการ บันทึกไฟล์ที่ download มา ให้บันทึกเก็บไว้ที่เครื่องเรา
เพราะต้องเอาไฟล์นี้ไปติดตั้งในเครื่องที่เราจะ remote เข้าไป
เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน Register ก็ปิด หรือจะหาคำว่า Installation was successful แล้วคลิกก็ได้
แล้วก็ปิดหรือออกจาก logmein ไปก่อน


Confirm Register Logmein
หลังจากเข้าไป Register และได้ทำการ Download โปรแกรมเก็บไว้เรียบร้อยก่อนที่ใช้งานได้จริง
เราต้องไปทำการ Confirm อีกรอบ โดยเข้าไปที่ mail box ที่เราได้กรอกไว้ตอน register
ถ้าใครใช้ hotmail ก็เปิดดู mail ที่ hotmail เอาน่ะ
เปิดดู e-mail แล้วก็หาดู ตรงคำว่า

To continue using your LogMeIn account, you will need to activate your account and confirm your email address by simply clicking here:
https://secure.logmein.com/a?028OB-8UG67111909800


link อาจจะไม่เหมือนกัน ก็คลิกเข้าไปเลย ตรง https://secure.logmein.com/a?028OB-8UG67111909800

จากนั้นก็ตอบคำถามหรือไม่ตอบก็ตามสบายแล้วคลิกที่ Save account settings
เป็นอันว่าจบขั้นตอน Confirm

ติดตั้ง Logmein ที่เรื่องลูกข่าย
เมื่อได้ทำการ download โปรแกรมมาแล้วจะได้ไฟล์ LogMeIn สำหรับนำไปติดตั้งให้กับเครื่องที่เราจะเข้าไปทำการ Remote
ก็นำไฟล์นี้แหละไป install ยังเครื่องที่ต้องการ



















คลิก Next



















คลิก I Agree



















เลือก Typical (Recommended) คลิก Next



















ตรงนี้ให้ใส่ชื่อสำหรับเครื่องที่เราติดตั้ง Logmein ตามต้องการ ชื่อนี้จะเป็นตัวบอกให้รู้ว่าเครื่องที่เราจะเข้าไปใช้เครื่องคือไหน



















ที่ช่อง Computer Access Code ให้ใส่

รหัสผ่านสำหรับใครที่จะเข้ามา Remote ที่เครื่องนี้ (เครื่องที่ติดตั้ง logmein)
ก่อนเข้าต้องระบุรหัสผ่านให้ถูก ดังนั้นเวลาใส่รหัสผ่านอะไรไป ก็จำไว้ด้วยล่ะ
ย้ำรหัสผ่านคือรหัสผ่านที่จะขอเข้าไปใช้งานในเครื่องนั้น




















ที่หน้าจอ Choose Product จะเป็นการเลือกว่าจะใช้ Logmein ตัวไหน
ถ้าไม่อยากเสียเงินให้เลือก LogMeIn Free
อันนี้แนะนำเลยว่าต้อง LogMeIn Free 




















ที่หน้าจอ LogMeIn Account Details จะให้กำหนด Email Address และ Password
ก็ใส่ไป ตรงนี้คือ Email และ password ที่เรากำหนดไว้ตอน register
ย้ำให้เอา email กับ password ที่ทำไว้ตอน register logmein เท่านั้น
จำไม่ได้ย้อนกลับไปดูขั้นตอนตั้งแต่ต้นใหม่

ใส่เสร็จใส่ถูก ก็คลิก Next




















ระหว่างทำการติดตั้งโปรแกรมจะเกิดหน้าจอ วูปดับ สักครั้งหรือสองครั้ง รอแป๊บ ก็จะกลับมาเป็นปรกติ แสดงว่าติดตั้งสำเร็จ เรียบร้อยโรงเรียนพี่ไท

จากนั้นก็จะขึ้นหน้าจอ Setup Complete ก็คลิก Finish
เสร็จสิ้นการติดตั้งโปรแกรมให้กับเครื่องลูก

ตานี้มีกี่เครื่องจะ Remote เข้าไป ก็ใช้วิธีติดตั้งนี้แหละไปติดตั้งในเครื่องที่ต้องการ

---------------------------------------------------------------------------------------

การรีโหมดเข้าไปใช้งาน
เมื่อติดตั้งเรียบร้อย ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน ทำอะไร เมื่อไหร่ อยากเข้าไปรีโหมดเครื่องที่เราลง logmein ไว้ ก็สามารถทำได้เลย
แต่มีข้อแม้ว่า ท่านต้องมี Internet ต่ออยู่ แล้วมี web browser ตัวที่ชื่นชอบ ถ้ามีก็ลุยได้เลย

เข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.logmein.com ก็จะเห็นหน้าจอคุ้นๆ














ให้ป้อน Email กับ Password ที่เราได้ทำการ Register ไว้ตอนแรก แล้วคลิกปุ่ม Log Me In
ท่านก็จะเห็นรายชื่อเครื่องที่ติดตั้งโปรแกรม LogMeIn ดังภาพ




















อยากจะ Remote เข้าเครื่องไหนก็คลิกที่เครื่องนั้นตามต้องการ

















เมื่อคลิกที่เครื่องที่จะ Remote เข้าไป ก็จะให้ใส่รหัสผ่านที่เรากำหนดไว้ตอนติดตั้ง logmein ที่เครื่องลูก
บางเครื่องอาจไม่ขึ้นหน้าจอนี้ แต่จะขึ้นหน้าจอ login ของ windows แทนก็ให้ใส่ user และ password
ของเครื่อง windows ที่เป็นเครื่องลูกที่เรา remote เข้าไป

เมื่อใส่ถูกก็จะเข้าสู่หน้าจอ remote ดังนี้

















ถึงขั้นนี้ท่านก็คลิกที่ปุ่ม Remote Control ได้เลย แล้วท่านจะพบสิ่งที่อยากได้

ปล. เนื่องจากโปรแกร LogMeIn มีการปรับปรุงใหม่อยู่เสมอ หน้าจอต่าง ๆ ที่เห็นอาจจะไม่เหมือนกับโปรแกรมในรุ่นใหม่

สำหรับโปรแกรมที่ใช้ในการรีโมทนอกจาก LogMeIn แล้ว ยังมีอีกตัวที่น่าสนใจคือ
TeamViewer สามารถเข้าไปดูบทความได้ที่

http://kasem-mesak.blogspot.com/2008/02/team-viewer.html

ขอให้โชคดีมีชัย รำรวย เฮงๆๆ ทั้งปี

01 มิถุนายน 2550

ลบข้อมูลหลอกๆ ใน SQL Server

จั่วหัวก็หลอกกันซะแล้ว ปรกติ เวลาเราใช้คำสั่ง DELETE FROM < table_name >WHERE .... พอสั่งจบปุ๊บข้อมูลหายปั๊บ ยิ่งถ้าเผลอไปพิมพ์แค่ DELETE FROM < table_name >โดยไม่กำหนด WHERE ทำไงดีล่ะ เรียบร้อยโรงเรียน กำสำ (delete พิมพ์แบบไทยแทนน่ะ) ต้องนั่งน้ำตาตก
อย่ากระนั้นเลย เรามีวิธีเร่เข้ามาทางนั้น ลบแล้วไม่ลบ ลบหลอกๆ งานนี้ต้องอาศัย TRIGGER เขาช่วย
ก่อนอื่นตารางทุกตารางต้องเพิ่ม Column เข้า 1 คอลัมน์ ให้ชื่อว่า Deleted มีประเภทข้อมูลเป็น CHAR(1) ถ้าไม่รู้จะเพิ่มอย่างไร ก็ใช้คำสั่ง ALTER ตามนี้

ALTER TABLE < table_name >
ADD Deleted char(1) NULL

**** ย้ำ < table_name > ไปเปลี่ยนเป็นชื่อตารางเอาเองน่ะ

หลังจากที่เพิ่มคอลัมน์ให้กับตารางต่างๆเป็นที่เรียบร้อย ทีนี้จะทำกับตารางไหนบ้างก็ต้องสร้างทริกเกอร์คุมแต่ละตารางเอาเองน่ะ โดยสร้างดังนี้

CREATE TRIGGER < trigger_name >
ON < table_name >
INSTEAD OF DELETE
AS
IF @@ROWCOUNT = 0 RETURN
UPDATE b SET b.Deleted = 'Y' FROM dbo.Books b JOIN deleted d ON d.< primary_key > = b.< primary_key >

**** ย้ำอีกรอบ ที่ต้องย้ำคนไทยเป็นคนเข้าใจอะไรยาก ขนาดศาลตัดสินว่าผิด ยังไม่เข้าใจเลยเฮ้ออ
< trigger_name > เป็นชื่อทริกเกอร์ที่ตั้งขึ้นเอง
< table_name > ชื่อตารางที่เก็บทริกเกอร์
< primary_key > ชื่อคอลัมน์ที่เป็น Primary key

เมื่อสร้างเสร็จ ตานี้แหละ ลบอย่างไรก็ไม่หายอิๆๆๆ

ตัวทริกเกอร์จะเปลี่ยนจากการ delete แถว(เรคคอร์ด) ไปเป็นการ update โดยใส่ค่า 'Y' ไว้ในคอลัมน์ Deleted แทน อิๆๆ เท่านี้ข้อมูลก็อยู่ครบ

อ้าวเกิดปัญหาตามมาอีกเวลาเรียกดูมันก็โผล่ออกมาอีก ทำไงดี ก็ต้องไปสร้างวิว เพื่อกรองเฉพาะแถวที่มีค่าของคอลัมน์ Deleted ที่ไม่เป็น 'Y' ดังนี้

CREATE VIEW < view_name >
AS
SELECT * FROM < table_name >
WHERE Deleted IS NULL OR Deleted < > 'Y'

**** ย้ำ ไม่ย้ำแล้วดีกว่า สองครั้งก็น่าจะพอ

เวลาที่เราจะไปใช้งานจริง เราก็อ้างจาก View ที่เราสร้างแทนการใช้ talble จริง
อิๆๆ เท่านี้การลบก็จะไม่ถูกลบ
แล้วถ้าจะลบจริงล่ะทำไงดี ก็ต้อง หยุด(disable) trigger ที่คุมการ delete ไว้ชั่วคราวก่อน ดังนี้

ALTER TABLE < table_name >
DISABLE TRIGGERS < trigger_name >

จากนั้นก็ค่อยลบข้อมูลทีมีค่า Deleted = 'Y' ออก ดังนี้

DELETE FROM < table_name > WHERE Deleted = 'Y'

เป็นอันลบข้อมูลที่ถูกลบหลอกๆ ทิ้งไปจริงๆ

จากนั้นก็ค่อยมาให้ระบบเริ่ม(enable) trigger ที่หยุดไว้ใหม่ ดังนี้

ALTER TABLE < table_name >
ENABLE TRIGGERS < trigger_name >

เป็นอย่างไรบ้าง ลบหลอกๆ สุดท้ายก็ต้องโดนลบจริง
หวังว่าคงจะได้แนวคิดไปหลอกไม่มากก็น้อย

สวัสดีมีชัย คิดสิ่งใดแล้วทำก็ขอให้สมหวัง (คิดแล้วไม่ทำยังไงมันไม่สมหวังหรอก)

16 พฤษภาคม 2550

ว่าว

เมื่อก่อนพูดถึงสนามหลวงทีไร ต้องนึกถึงว่าว แต่มายุคนี้สมัยนี้ต้องนึกถึงม๊อบ คำว่าม๊อบต้องเขียนให้ถูก เผลอไปเขียนเป็น mop ละยุ่งจะกลายเป็นว่าเอาไม้ถูบ้านไปสอยว่าวที่สนามหลวง บทความนี้เกี่ยวกับว่าวววว รู้จักไหมชักว่าว อย่าเผลอไปชักว่าวผิดที่ล่ะ.... อย่าคิดไปไกล เดี๋ยวไฟดูดตายไม่รู้ด้วย นึกถึงว่าวที่ไร หัวมันก็ส่ายไปสายมา สมัยเด็กก็มีการตั้ง mob เหมือนกัน แบบตั้ง mob ชักว่าว แต่ก่อนชักแต่ละทีก็ต้องมีการเตรียมการก่อน ต้องสร้างเครือข่ายทำว่าวววว เมื่อก่อนไม่ต้องมีทุนมากก็ชักได้ชักดี เด็กสมัยก่อนเขาทำว่าวกันอย่างไร อ่านไปเรื่อยๆก็จะรู้เอง เมื่อรวมสมัครพรรคพวกได้แล้ว ก็กระจายกำลัง บ้านเอ็งแม่เองเย็บผ้า ไปแอบหยิบด้ายมาหลอดนึง เอาตราสมอน่ะโว้ย ยี่ห้ออื่นไม่เอาเดียวขาด เดี๋ยวสายป่านขาด น้ำเลี้ยงไม่ถึงแล้ว mob ก็จะแตกกระจายแยกย้ายกลับถิ่น แล้วก็หาผ้าขาวบางมาด้วย ถ้าหาไม่ได้ก็ไปหามุ้งเก่าๆแอบตัดมาสักขนาดพอเหมาะ ส่วนเอ็งไปหาหลอดไฟ เอาหลอดนีออนน่ะเว้ยยย สมัยก่อนหลอดนีออนหายาก หาเสียๆที่เขาทิ้งขยะลำบาก หาไม่ได้ก็หาบ้านเหมาะๆแบบมีหลอดนีออนหน้าบ้านใช้หินขว้างมันซะเลย แบบขว้างระเบิด พอขว้างเสร็จ mob กระจาย อ้าวไม่กระจายได้ไง หลอดไฟตกใส่ก็เลือดอาบดิ ต่อมาก็เดินเตร็ดเตร่ไปหากระป๋องนม สมัยก่อนมีเยอะเอาไว้ใส่โอเลี้ยงเพียบ ไม่พอใจหมา เจอกระป๋องก็เตะอัดใส่หมาโอยยย สนุก แต่ไม่พอใจคนเตะใส่คงโดนตืบบ
แถวละแวกบ้านเมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านทำขลุ่ย ทำกันเยอะ ทุกวันนี้ก็ยังทำกันอยู่แต่เหลือไม่เยอะแล้ว จากขลุ่ยไม้ไผ่ กลายเป็นขลุ่ย pvc ไปซะแล้วตามยุคตามสมัย คนแก่ๆที่ทำ ก็เสียชีวิตไปกันเกือบหมด ที่เหลืออยู่ก็ทำไม่ไหว อยากรู้ว่าเขาทำขลุ่ยกันที่ไหน อยู่ที่หมู่บ้านลาว อยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละ อุปกรณ์สำคัญสำหรับว่าว คือ ไม้ไผ่ ก็ได้จากนี่แหละวัตถุดิบมีเต็มไปหมด สมัยก่อนขลุ่ยเขาใช้ไม่ไผ่ทำ พอได้ไม้ไผ่มาก็ต้องเอามาตาก ก็ตากกันแถวๆถนน ตรอก ซอก ซอย อยากยิบบ้องไหนก็หยิบ ตานี้สิ่งที่เสียเงิน เพราะคงหาเก็บไม่ได้ต้องไปซื้อมา ก็หนีไม่พ้น กระดาษทำว่าว มีสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว แล้ววัสดุอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือกาวหนังควายยยย เดี๋ยวนี้ไม่รู้หาซื้อที่ไหนได้อีก เห็นมีแต่กาวตราช้าง กาวชนิดนี้เป็นก้อนๆ สีน้ำตาลแก่ๆ เหม็นอย่าบอกใคร แต่รับรองติดได้ติดดี
ได้อุปกรณ์เรียบร้อย เดี๋ยวแยกแบบสูตรอาหารให้
1. ด้ายตราสมอ 1 หลอด
2. ผ้าขาวบาง หรือ ผ้ามุ้ง 1 ผืน
3. กระป๋องนมใช้แล้ว 1 กระป๋อง เอาตรามะลิ สมัยนั้นดังมากๆ นมตรามะลิ ใหม่และสด ทุกๆ หยด รสดีเสอม แล้วพวกสัปปะดน ก็เปลี่ยนเป็น นมตราอี ปอสระ.. ขาวข้น หวานมัน
4. หลอดนีออน ใช้แล้ว 1 หลอด
4.5 ไม้ไผ่
5. กระดาษทำว่าว
6. แป้งเปียก
7. ขาดไม่ได้ กาวหนังควาย

การทำว่าวว เราจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก ทำสายป่าน กับส่วนที่สอง ทำตัวว่าว ภาษาเด็กทำว่าว ส่วนใหญ่จะทำกันแต่ว่าวแขก

วิธีการทำป่าน ก่อนอื่นเอากระป๋องนมที่หาได้ มาทำเป็นครก เมื่อก่อนเคยเอาครกหินมาตำหลอดนีออน เพราะมันละเอียดเร็วดี แต่พอตกเย็นเท่านั้นแหละโดนฟาดก้นลาย เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ผู้ใหญ่เอาครกไปใช้ทำแกงส้มต่อ แกงเสร็จกินแกงส้มอะไรหว่าเผ็ดฉิบโป้ง แสบลิ้นไปหมด เคียวๆ ไปมีอะไรกุบๆกับๆ แถมเลือดออกอีก โดนซิแบบนี้ เลยต้องหันมาใช้กระป๋องนม พอต่ำเสร็จ อย่าเพิ่งทิ้ง เก็บไว้ recycle ต่อ เห็นหรือเปล่าเด็กสมัยก่อนรู้จักคำว่า recycle กันแล้ว
หลังจากตำจนละเอียด ก็จะได้ผงแก้วนีออนละเอียด นำเอามากรองด้วยมุ้ง หรือผ้าขาวบาง ร่อนเอาแต่ผงละเอียด จะได้ผงแบบผงแป้ง เสร็ยแล้วก็เก็บไว้ ผ้าขาวบางที่กรองก็เก็บไว้เดี๋ยวไปใช้อย่างอื่นต่อ ใช้คุ้มจริงๆ
ต่อมา ก่อไฟ เอาหินข้างๆมาทำเป็นเตา เอาไม้ไผ่ แถวๆนั้นแหละมาทำเป็นฟืน เอากระป๋องมาทำเป็นหม้อ ต้มน้ำ แล้วใส่กาวหนังควายลงไป คนๆๆๆ จนเป็นกาวเหนียวๆ ใส่ผงแก้วหลอดนีออนลงไป คนๆๆๆ จนเหนียวพอเหมาะ ขั้นต่อมา ต้องไปหาบ้านใครซักคนที่ใต้ถุนสูง พอดีที่บ้านตอนนั้นใต้ถุนบ้านสูง เป็นบ้านสมัยก่อน เขาเรียกว่าบ้านทรงมะลิลา ก็มองหาเสา เหมาะๆ สักสี่ต้น จากนั้นก็เอากาวที่เราทำไว้ ผสมผงหลอดนีออนมาแล้วเอาหลอดด้ายตราสมอ ไปจุ่มไว้ คนให้ผงนีออนไม่ตกตะกอน ผูกปลายได้ไว้กับเสา แล้วเอาผ้าขาวบางค่อยๆ รูดที่ด้ายน้ำกาวก็จะติดด้ายพร้อมกับผงแก้วนีออน ก็รูดแล้วก็เดินวนเสาสี่ต้นไปเรื่อย แบบขึงเชือกเวทีมวยลุมพินี ทำไปจนด้ายหมดม้วน เป็นอันเสร็จ ตานี้ก็ทิ้งไว้จนกาวแห้ง ก็จะได้สายป่านอันคมกริบ เสร็จแล้วก็หาๆๆๆ กระป๋องนมผงตราหมี สมัยก่อนโนน้ มีเยอะ เอาไว้ใส่น้ำกิน เป็นอะลูมิเนียม สูงๆ หยักๆเป็นลอนๆๆ ไม่ค่อยเห็นแล้ว อยากดูต้องไปร้านกาแฟ โอเลียงที่มีอาแป๊ะแก่ๆ ขาย ยังพอมีเหลือให้เห็นอยู่บ้าง เอากระป๋องมาทำอะไรเหรอ ก็เอามาทำเป็นแกนเก็บสายป่าน เพราะเวลาเราชักว่าว เราต้องตั้งกระป๋องขึ้น เวลาผ่อนสายป่านจะได้ทำได้อย่างคล่องตัว
วิธีการทำว่าว ก็เอาไม้ไผ่มาเหล่าๆๆ ให้ได้ขนาดพอเหมาะ สักสอง อัน เพื่อทำเป็นกระดูกว่าว เอาไม้มาผูกกันแบบไม้กางเขน อัตราส่วนการผูกนี่อยู่ที่ความชำนาญ ว่าเหลือหัวไว้มากน้อยเท่าไหร่ จำได้เล่าๆ ว่าผูกในตำแหน่ง 1 ใน 4 ของไม้ที่ทำแกนว่าว พอผูกเสร็จ ก็จะได้เป็นรูปไม้กางเขน ตานี้ก็ต้องเอาด้ายมาขึงขอบๆ ไม้กางเขน ก็จะได้เป็นสี่เหลี่ยม ขึงให้ไม้แอ่นลงด้านล่างเล็กน้อย พอได้โครงว่าวเสร็จก็เอาไปทาบกับกระดาษทำว่าว แล้วตัดๆ ให้เหลือขอบหน่อยๆ เพื่อจะได้พับแปะกาวแป้งเปียกกับด้ายที่ขึงไว้รอบๆ พอได้ว่าวเสร็จสรรพ ก็ทำหาง ว่าว เป็นอันเสร็จพิธี
ขั้นสุดท้ายว่าวจะขึ้นหรือไม่ อยู่ที่ตอนขึงว่าวกับสายป่าน ต้องมีความชำนาญว่าควรจะเจาะรูผูกตรงไหน แล้วควรจะเว้นไว้เท่าไหร่ ทำไปลองไป จนพอใจ
สุดท้ายก็เอาไปลองหาที่ว่างๆ ไกลๆ สายไฟหน่อย ทดสอบเสร็จ ก็ได้เวลา ระดมพล เพื่อไปก่อ mob ที่สนามหลวง
ยกพลขึ้นรถเมล์สาย 19 สนามหลวง ศิริราช วงเวียนเล็ก บ้านแขก .... ขึ้นได้เลยพี่ แล้วเราก็เข้าสู่เวทีการต่อสู้ของลูกผู้ช่ายด้วยวิธีการชักว่าว

สำหรับวิธีการไล่ mob สนามหลวง ง่ายนิดเดียว เปิดสนามหลวงให้เป็นตลาดนัดสุดสัปดาห์ แบบสมัยก่อน รับรอง mob เจอลองเจอกับแม่ค้า ไม่กระเจิงให้มันรู้ไป เพราะตอนวันหยุดช่วง ต้นปี ว่าวจะไม่ค่อยเห็น จะเห็นแต่แม่ค้าขายของแย่งพื้นที่ไปหมด คนก็เยอะแยะนัวเนีย เอ้าเร่เข้ามา อับดุลรู้ อับดุลเห็น ยุคไหนสมัยไหนก็มีของแหกตาทั้งนั้น

จบเรื่องว่าวไว้แค่นี้ สวัสดี

การนำตาราง .dbf ของ Visual FoxPro มาเปิดใช้งานบน SQL Server 2005

สำหรับท่านที่ใช้ตาราง dbf ในการเก็บข้อมูลต่างๆ แต่ยังไม่อยากขนย้ายข้อมูลทั้งหมดของท่านขึ้นไปไว้ยัง SQL Server 2005 แต่ต้องการนำข้อมูลที่เป็น dbf เหล่านั้นมาใช้งานบน SQL Server จำทำได้อย่างไร ?

วันนี้เราจะเมา (มา) เสนอวิธีการที่ทำให้ท่านเปิดใช้งาน dbf ภายใต้ sql server เออ เมาจริงๆ เขียนวกไปวนมา

วิธีการก็ไม่ยากไม่เย็นอะไร ก็แค่สร้าง view ใน SQL Server เพื่อไปดึง ตารางข้อมูล dbf มา ซึ่ง view ก็เหมือนเป็นทางผ่าน ส่วนขอมูลก็ถูกบันทึกไว้ใน dbf เหมือนเดิม

ตัวอย่างการสร้าง VIEW บน SQL Server 2005 ทำดังนี้

CREATE VIEW DBF_CUSTOMER
AS
SELECT * FROM OPENROWSET('MSDASQL','Driver=Microsoft Visual FoxPro Driver;SourceDB=c:\Test\data;SourceType=DBF','SELECT * FROM CUSTOMER')

จากคำสั่งข้างต้นจะเป็นการสร้างวิวโดยนำตาราง Customer.dbf ที่เก็บอยู่ภายใต้ floder ชื่อ c:\Test\data มาทำการสร้าง

สำหรับท่านที่มีตารางชื่ออ่านก็เปลี่ยนได้ตามต้องการ

การคิวรีข้อมูลด้วยคำสั่ง SELECT ก็ไม่มีอะไรมากมาก เช่น

SELECT * FROM DBF_CUSTOMER

ท่านก็จะเห็นกับข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Customer.dbf แสดงออกมา ง่ายไหม

แล้วถ้าต้องการ update ก็สั่งดุ่ยๆ

UPDATE DBF_CUSTOMER SET CUS_NAME = 'นายแสนดี' WHERE CUS_CODE = '0001'

เห็นไหมว่ามันง่ายๆๆๆๆ มากๆ

แล้ว insert ล่ะ ก็ไม่ยาก สำหรับการเพิ่มข้อมูลในส่วนของ values ต้องใส่ให้ครบทุกคอลัมน์น่ะ เดี๋ยว error ไม่รู้ด้วย เช่น

INSERT INTO DBF_CUSTOMER
VALUES('00999','นายขอบคุณ')

แล้ว Delete ล่ะ เขียนแบบนี้นะ

DELETE FROM DBF_Customer WHERE CUS_CODE = '00999'

เห็นไหม เห็นไหม การนำ dbf มาจัดการผ่าน SQL Server 2005 ไม่ยากอย่างที่คิด

ท่านก็สามารถนำไปเขียนด้วยภาษาเช่น VB, ASP.Net หรือ Visual FoxPro หรือ ภาษาใดๆก็ได้ผ่านทาง SQL Server จะขึ้น web หรือ ไปแนว Client/Server ก็ตามสะดวก

อ่านแล้วมาโม้

ปรกติเป็นคนชอบอ่าน อ่านแล้วไม่เคยจำ จำไม่ได้ว่าอ่านเล่มไหนมาบ้าง แล้วเล่มไหนที่เคยอ่านไปแล้วบ้าง
มีร้านหนังสืออยู่ร้านหนึ่งจำไม่ได้ว่าชื่อเรียงเสียงไร เขียนว่า "ขอแค่แวะเข้ามาอ่าน ก็ทำให้เราเบิกบานหัวใจ" ไม่ซื้อไม่ว่าข้าจะจำหน้าเอ็งไว้คราวหน้าเมื่อไหร่อย่าหวังเข้ามา อิๆๆ อันหลังนี่เพิ่มมาเอง
เวลาเราทำงานไปเรื่อย นับวันยิ่งอาวุโส ไปๆ เผลอแป๊บๆ กลายเป็นลุง เป็นป้า ไปซะงั้น ยิ่งทำงานด้าน computer เผลอแปบๆ ยี่สิบปีแล้วเหรอเนี่ย คลื่นลูกใหม่ก็ถาโถมเข้ามา แล้วเราก็กลายเป็นพนักงานรุ่นเก่า ที่ได้กลายเป็นพนักงานเบอร์ 1 (ที่จะถูกซองขาวอิๆๆ) แต่เรื่องอะไรเราจะเป็นเช่นนั้น ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เราต้องไม่มีคำว่า fear อยู่ในใจ แต่ถ้าเป็นมาเฟียได้จะดีมาก แต่ไม่เป็นจะดีกว่า ดังนั้นเราต้องตั้งสติ แล้วใส่สตางค์เข้ากระเป๋า สองเท้าก้าวเดิน แล้วท่องคำว่า เป้าหมายๆๆๆๆ แล้วก็คิดต่อไปถึงเป้าหมายข้างหน้า เคยเห็นพวกสัตว์ป่ามันอพยบไหม มันยังมีเป้าหมายที่มันไป ถึงแม้จะมีอันตรายล้มตายไปไม่น้อย มันก็ยังไปจนถึง ท่านละมีเป้าหมายหรือยัง

เป้าหมายทำให้เกิดแรงจูงใจ แรงจูงใจทำให้เกิดความคิด ความคิดทำให้เกิดปัญญา แล้วปัญหาก็ตามมา อิๆๆๆ คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง มันก็มีแต่ปัญหา ดังคำกล่าวที่ว่า "ชีวิตคือกระบวนการแก้ปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น" ปัญหาหนึ่งหมดไป ปัญหาใหม่มันก็เข้ามา ดังนั้นเราต้องใช้สติ ก่อนแก้ปัญหา เพราะทุกปัญหามีทางออก ปัญหากว่าร้อยละ 99.99 เราสามารถแก้ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนั้นอย่ามัวทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องอยาก คิดสักนิดก่อนตัดสินใจ ถึงแม้บางอย่างที่ตัดสินใจทำไปแล้ว ล้มเหลว ก็ตั้งหลักใหม่ได้ นักประพันธ์ชาวไอริชท่านนึงได้กล่าวไว้ว่า "9 ใน 10 สิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นประสบแต่ความล้มเหลว แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะเป็นผู้แพ้ ดังนั้นเขาจึงทำงานเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า" หรือ คำที่เราคุ้นๆหูของฝรั่งท่านหนึ่ง ชื่อ ลอยด์ เจมส์ ได้กล่าวว่า "บุคคลที่พยายามทำบางสิ่งบางอย่างแล้วล้มเหลว ย่อมดีกว่า คนที่ไม่ได้พยายามทำอะไรเลยและประสบความสำเร็จ"

ไมเคิล แองเจลโล ได้วาดภาพไว้ที่ใต้หลังคาโบสถ์ เขาจะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แม้คนที่อยู่ด้านล่างจะมองขึ้นไปไม่เห็นรายละเอียดเหล่านั้นก็ตาม เพื่อนของเขาเคยถามว่า จะมีใครรู้บ้างไหมว่าภาพเหล่านั้นมันสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติ ไมเคิล ตอบว่า คนอื่นไม่รู้แต่ผมรู้ (เข้าทำนองว่าทำอะไรลงไปถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจ ทำดี ใจเราก็จะมีแต่สิ่งดีๆ แต่ถ้าทำชั่วเราก็ไม่สบายใจ)

งานโดยเฉพาะงานด้านการเขียนโปรแกรม เราสามารถเขียนให้เสร็จเพื่อที่จะพอให้สามารถใช้งานได้ หรือจะเขียนในแบบที่หาบักไม่ค่อยเจอ (เขียนโปรแกรมต่อให้เขียนเก่งขนาดไหนบักก็ต้องมี ถ้าไม่มีเขาไม่เรียกโปรแกรม เขาเรียก hello world) งานดีไม่ดี มันขึ้นอยู่ที่แรงจูงใจ ถ้าเรามีความพอใจ ตั้งใจในงานที่ทำ ผลงานก็ออกมาดี ยิ่งถ้าเราเขียนโปรแกรมแล้วเห็นผู้ใช้นั่งทำงานโดยใช้โปรแกรมที่เราทำ เราก็ยิ่งมีกำลังใจเป็นเท่าทวีคูณ แล้ววันนั้นคุณมีบ้างหรือยัง

มีนักเขียนโปรแกรมหลายต่อหลายคน เขียนโปรแกรมโดยไม่มีจรรยาบรร บางคนเป็นลูกจ้างของ บริษัท เขียนโปรแกรมให้ บริษัท ใช้งาน แต่เมื่อตัวเองออกไปด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม บางท่านล้างแค้นด้วยการไม่ทิ้ง source code แถมตั้งเวลา lock ระบบอีกต่างหาก หรือไม่บางคนแสบยิ่งกว่า แอบลบข้อมูล อันนี้ไม่รู้จะด่าว่าอย่างไร คนเราถ้าไม่มีจรรยาบรรณในอาชีพ ก็อย่ามาทำอาชีพนั้นเลย จริงไหม?

วันนี้เมื่อยแล้ว ๆ จะมาโม้ (ด่า) ต่อ

26 เมษายน 2550

การกำหนดให้ SQL Server มองเห็นจากเครื่องลูกข่าย

โดยปรกติการใช้งาน SQL Server ไม่ได้จำกัดการใช้งานเพียงเครื่องที่ติดตั้งโปรแกรมเท่านั้น เราสามารถที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องลูกข่ายในระบบแลน (LAN : Local Area Network) สามารถที่จะเข้ามาจัดการ หรือเรียกใช้ข้อมูลจาก SQL Server ที่เราได้ติดตั้งไว้ที่เครื่องเซอร์เวอร์ สำหรับการติดตั้งที่ผ่าน SQL Server จะกำหนดให้เครื่องที่ทำการติดตั้งใช้งานได้เพียงเครื่องเดียว เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นที่เชื่อมถึงกันยังไม่สามารถเข้ามาใช้งานได้จนกว่าจะได้ทำการกำหนดสิทธิให้เข้าใช้งาน ซึ่งมีวิธีการดังนี้

สำหรับ SQL Server 2008 หรือสูงกว่า

1. คลิกที่เมนู Start จากนั้นเลือก All Programs เลือก Microsoft SQL Server 2008 หรือ รุ่นที่ใช้งาน
จากนั้นเลือก Configuration เลือก SQL Server Configuration Manger

2. ที่หน้าต่าง SQL Server Configuration Manager ให้เลือก
    SQL Server Network Configuration
    จากนั้น ให้คลิกเลือก Protocols ที่ต้องการ
    ที่ช่องหน้าต่างด้านขวา คลิกเมาส์ปุ่มขวาที่ TCP/IP เลือก Properties


















3. ที่หน้าต่าง TCP/IP Properties เลือกแทป Protocol จากนั้นเปลี่ยนค่าในช่อง Enabled ให้เป็น Yes


























4. ที่ TCP/IP Properties คลิกที่แทป IP Address จากนั้นกำหนด ในส่วนของ IP ที่เราต้องการให้เปิดใช้งาน โดยการเปลี่ยนค่าที่
     Enabled กำหนดให้เป็น Yes
     TCP Port กำหนดเป็น 1433
(สามารถกำหนดได้หลาย IP ตามต้องการ) ดังภาพ


























จากนั้นคลิกปุ่ม OK

5.  จะปรากฏหน้าต่างแจ้งเตือน ก็ให้คลิก OK











จากนั้น ให้ทำการรีสตาร์ทเซอร์วิสของ Database Engine ใหม่ หรือจะทำการรีบูตเครื่องใหม่เพื่อให้ระบบทำการสตาร์เซอร์วิสใหม่อีกครั้งก็ได้

*** หากยังไม่สามารถติดต่อได้ ให้ไปปิด firewall ของ Windows ก่อน แล้วค่อยทำการติดต่อใหม่อีกครั้ง


----------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับ SQL Server 2005

1. คลิกที่เมนู Start จากนั้นเลือก All Programs เลือก Microsoft SQL Server 2005 เลือก Microsoft Configuration Tools เลือก SQL Server Surface Area Configuration



















2. ให้คลิกที่ Surface Area Configuration for Service and connections


















3. ที่หน้าจอ Surface Area Configuration for Service and connections ให้ไปที่ SQLEXPRESS ไปที่ Database Engine จากนั้นให้เลือกที่ Remote Connection




















4. ที่หน้าจอทางด้านขวามือให้เลือกหัวข้อ Local and remote connections จากนั้นเลือกหัวข้อ Using TCP/IP only แล้วคลิกปุ่ม OK

5. หลังจากคลิกปุ่ม OK จะปรากฎข้อความแจ้งเตือนดังภาพ ให้คลิก ปุ่ม OK








6. จากนั้นให้คลิกที่เมนู Start จากนั้นเลือก All Programs เลือก Microsoft SQL Server 2005 เลือก Microsoft Configuration Tools เลือก SQL Server Configuration Manager

7. ให้คลิกเลือกที่รายการ SQL Server 2005 Network Configuration จากนั้นเลือกที่รายการย่อย Protocols for SQLEXPRESS

8. ที่ช่องรายชื่อโปรโตคอล ให้คลิกขวาที่ชื่อ TCP/IP แล้วเลือก Properties



















9. ที่หน้าจอ TCP/IP Properties ให้เลือกแทป Protocol ที่ช่องรายการ Enabled ให้กำหนด
เป็น Yes

10. จากนั้นไปที่แทป IP Addresses ที่ช่องรายการ Enabled ให้กำหนดเป็น Yes และที่ช่องรายการ IP Address ให้ใส่หมายเลข IP ของเครื่องที่ติดตั้งโปรแกรม SQL Server 2005
จากนั้น ใส่หมายเลข port ตรง TCP Port เป็น 1433
แล้วคลิกปุ่ม OK























11. หลังจากคลิกปุ่ม OK จะปรากฎข้อความแจ้งเตือนดังภาพ ให้คลิก ปุ่ม OK








12. ให้ทำการรีสตาร์ทเซอร์วิสของ Database Engine ใหม่ หรือจะทำการรีบูตเครื่องใหม่เพื่อให้ระบบทำการสตาร์เซอร์วิสใหม่อีกครั้งก็ได้

*** หากยังไม่สามารถติดต่อได้ ให้ไปปิด firewall ของ Windows ก่อน แล้วค่อยทำการติดต่อใหม่อีกครั้ง


"I Believe in You"

Copyright(c) 2007 - 2022 by Kasem Kamolchaipisit.