05 พฤศจิกายน 2550

กรุงเทพฯ กับ ชายผู้ที่หนีมาจากเรือนรก

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2550
วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางไปรอบ ๆ กรุงเทพฯ แล้วก็ได้เดินจริง ๆ เมื่อยซะไม่มี
ได้พบเห็นทิวมะขามอันร่มรื่นอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ (จริงเห็นเกือบทุกวัน แต่ทุกวันที่เห็นมีแต่รถติด)


วันนี้อีกได้ก็มีโอกาสไปที่สูง ๆ เดี๋ยวนี้นาน ๆ ที่จะได้ขึ้นที่สูงกับเขา ตั้งแต่ เห็นสภาพฝรั่งตาน้ำข้าวมันโดดตึก 4 ชั้น ลงมาทับรถชาวบ้านพังแถมซี่โครงหักอีกต่างหาก โชคดีไม่ตาย แต่ก็ซวยไหนจะค่าซ่อมรถ ไหนจะค่าดามกระดูก ไหนจะค่าข้าวต้ม ก็ไม่อยากอยู่ที่สูงซักเท่าไหร่




แล้วก็ได้มีโอกาสไปลงนามถวายพระพรในหลวงที่ศิริราช แถมได้มีโอกาสเห็นการซ้อมขบวนเรือพยุหยารตรา แบบชั้นลิงไซด์ (ลิงนั่งยังไงแบบนั้นเลย โหนกิ่งไม้บ้าง เกาะรั้วบ้าง)


จบเรื่องกรุงเทพฯ ไว้แค่นี้ นี่ขนาดเดินเท้าไปเรื่อย ๆ ยังได้พบเห็นความงดงามขนาดนี้ ถ้าขึ้นเครื่องบิน ลงเรื่อดำน้ำ จะสวยขนาดไหน

ย้อนกลับมาเรื่องของชายผู้ที่หนีมาจากเรือนรก
เรื่องมันก็เกิดขึ้น วันเดียวกันกับที่เดินทัวร์กรุงเทพฯ 2 ตุลาคม 2550 ระหว่างเดินขาขวิดตามถนนไปเรื่อย ๆ บังเอิญเจอชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิดคล้ำ ใส่รองเท้าแต๊ะ เดินเข้ามาถามทางที่จะไปสถานีขนส่งเอกมัย ระว่างที่แกถาม ในใจก็คิด เอาอีกแล้วกูโดนอีดแล้วถามทางเสร็จเดี๋ยวมันต้องขอเงินค่ารถแหง๋ๆ (เรื่องนี้โดนมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งที่นึกทีไรแล้วหัวเราะทุกทีไป คือ ไอ้คนที่เคยถาม ๆ แล้วขอเงินมันไม่ดูตาม้าตาเรือ ผ่านไปหกเดือนมันดันกลับมาหากินถิ่นเดิมแล้วดันแจ๊คพอดมาถามซ้ำกับคนที่มันเคยถาม ที่จำได้คือมันถามเส้นทางเดิม เลยนึกได้ แต่เราก็ใช่ย่อย เลยปล่อยมุขเด็ด ๆ ของเราไปแกไม่ถามต่อรีบจ้ำอ้าวไปเลย คำตอบที่ได้เหรอ "คุณนี่มันตั้งหกเดือนแล้วนิยังเดินทางไปไม่ถึงอีกเหรอ")
วกกลับมาที่ชายผู้ที่หนีมาจากเรือนรก พอแกถามทางเสร็จ เราก็บอกทางไปตามเรื่อง พอบอกเสร็จ แกรีบเดินจากไปทันที ไอ้เราก็ยืนงง เฮ้ยคนนี้มาแปลกว่ะไม่ขอค่ารถ ไอ้เราก็นึกขึ้นได้ถ้าเดินไปก็อีกไกลหลายกิโลนี่หว่า ไอ้เราก็เลยเดินตาม แต่พวกเดินไวมาก มาทันเอาตรงสี่แยกในซอย แกไม่กล้าเดินข้ามทั้งๆที่ถนนมีแค่ทางให้รถสวนไปมาได้แค่นั้น ยืนงก ๆ เงิ่น ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ ก็เลยทันกันแล้วก็ยิงคำถามไปว่า จะเดินไปเอกมัยเหรอ เขาก็ตอบมาว่าใช่ครับ
ก็ถามต่อไปว่า ไปทำไมล่ะ เขาก็ตอบมาว่า จะรีบกลับบ้านครับ เอางี้ละกัน งั้นเองเงินค่ารถไป จะได้กลับไวๆ พอยื่นเงินให้ แกก็ไม่รับ
ตานี้ก็เลยงง เฮ้ย มีหยิ่ง ก็เลยยิงคำถามต่อ ว่ามาจากไหน ถึงได้เดินมาถึงนี่ เขาก็บอกว่า เดินมาจาก แถว ๆ สพานพระปิ่นเกล้า ไอ้เราก็ยืนคิด มันเดินมาตรงไหนหว่า (คงข้ามสะพาน มาตาม ถ.ราชดำเนิน ผ่านหลานหลวง ออกเพชรบุรี มาวกเข้า ซอยนานา ทะลุมาเจอเรา เออเข้าเค้า ว่าไม่ได้หลอกเรา)
แล้วก็ยิงคำถามต่อไปว่า อ้าวแล้วไปทำอะไรแถวสะพานพระปิ่นเกล้า เขาก็ตอบว่า ผมหนีมาจากเรือตังเก อาศัยตอนเรือเข้าฝั่ง แล้วก็หนีขึ้นรถสิบล้อมา เขาก็มาส่งที่แถว ๆ สะพานพระปิ่นเกล้า ตอนเช้า ผมก็เดินจะกลับบ้าน
ไอ้เราก็ขี้สงสัย ก็ถามไปอีกไปถึงเอกมัยแล้ว จะกลับยังไง มีเงินค่ารถเหรอ แกก็ตอบกลับมาว่า เดี๋ยวผมก็ขอเขาขึ้นกลับปราจีนบุรี ไอ้เราก็มองนาฬิกา เฮ้ยจะเที่ยงแล้วนี่หว่า ก็เลยชวนเขากินข้าว แกก็ปฎิเสธ บอกว่าจะรีบกลับบ้าน ให้เงินก็ไม่เอา ชวนกินข้าวก็ไม่กิน ในใจก็คิดว่าสงสัยตอนอยู่บนเรือคงโดนมายิ่งกว่านี้เยอะ แค่นี้จิ๊บๆ อดข้าว กับเดินสักสิบ-ยี่สิบกิโล นี่เด็ก ๆ
เอาไหน ๆ ก็ไหน ๆ คุยกันมาตั้งนาน ไม่ทำอะไรเลยก็เสียคนหมดซิว่ะ เลยควักเงินเอาให้เป็นค่ารถ กลับถึงปราจีน เลย ก็ไม่รู้ว่ากี่บาท ให้ไป แต่แกก็ไม่ยอมรับอีก เลยขู่ไปว่า กระเป๋ารถไม่มีเงินซื้อตัวเขาไม่ให้ขึ้น ตานี้ไม่ได้กลับบ้านแน่ ๆ ไอ้เราก็เลยรีบยัดเงินใส่ในมือ แกก็ร้องไห้โฮออกมา แถมไหว้เราอีก ก็เลยเดินไปถามไป เพราะต้องออกจากซอยเพื่อไปถนนสุขุมวิทเหมือนกัน ก็เลยรู้ว่าแกถูกนายหน้าหลอก ไปรับถึงที่บ้าน แล้วเอาไปส่งแถว ๆ มหาชัย แกอยู่บนเรือประมาณสองเดือนกว่าจะหนีมาได้ แล้วคำที่แกพูดอยู่เสมอ ๆ คือ แกไม่มาอีกแล้ว กรุงเทพฯ ไอ้เราก็บอกไปว่า อยู่บ้านนอกนั่นแหละดีแล้ว ไม่รวยแต่ขอให้พอมีพอกิน อยู่กับครอบครัวก็มีความสุขแล้ว ถามอะไรถามได้แต่ดันพลาดท่า ลืมถามชื่อ เลยไม่รู้ว่าชื่ออะไร

วันที่เขียนบทความนี้ แกคงถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข

ไอ้คนชั่วมันก็จ้องหาทางแต่ทำชั่วหลอกลวงผู้อื่นไปเรื่อย ส่วนคนดีคนซื่อก็มักจะถูกคนชั่วหลอกอยู่ร่ำไปถ้ามัวแต่คิดแต่เรื่องของเงิน
"I Believe in You"

Copyright(c) 2007 - 2022 by Kasem Kamolchaipisit.