16 พฤษภาคม 2550

ว่าว

เมื่อก่อนพูดถึงสนามหลวงทีไร ต้องนึกถึงว่าว แต่มายุคนี้สมัยนี้ต้องนึกถึงม๊อบ คำว่าม๊อบต้องเขียนให้ถูก เผลอไปเขียนเป็น mop ละยุ่งจะกลายเป็นว่าเอาไม้ถูบ้านไปสอยว่าวที่สนามหลวง บทความนี้เกี่ยวกับว่าวววว รู้จักไหมชักว่าว อย่าเผลอไปชักว่าวผิดที่ล่ะ.... อย่าคิดไปไกล เดี๋ยวไฟดูดตายไม่รู้ด้วย นึกถึงว่าวที่ไร หัวมันก็ส่ายไปสายมา สมัยเด็กก็มีการตั้ง mob เหมือนกัน แบบตั้ง mob ชักว่าว แต่ก่อนชักแต่ละทีก็ต้องมีการเตรียมการก่อน ต้องสร้างเครือข่ายทำว่าวววว เมื่อก่อนไม่ต้องมีทุนมากก็ชักได้ชักดี เด็กสมัยก่อนเขาทำว่าวกันอย่างไร อ่านไปเรื่อยๆก็จะรู้เอง เมื่อรวมสมัครพรรคพวกได้แล้ว ก็กระจายกำลัง บ้านเอ็งแม่เองเย็บผ้า ไปแอบหยิบด้ายมาหลอดนึง เอาตราสมอน่ะโว้ย ยี่ห้ออื่นไม่เอาเดียวขาด เดี๋ยวสายป่านขาด น้ำเลี้ยงไม่ถึงแล้ว mob ก็จะแตกกระจายแยกย้ายกลับถิ่น แล้วก็หาผ้าขาวบางมาด้วย ถ้าหาไม่ได้ก็ไปหามุ้งเก่าๆแอบตัดมาสักขนาดพอเหมาะ ส่วนเอ็งไปหาหลอดไฟ เอาหลอดนีออนน่ะเว้ยยย สมัยก่อนหลอดนีออนหายาก หาเสียๆที่เขาทิ้งขยะลำบาก หาไม่ได้ก็หาบ้านเหมาะๆแบบมีหลอดนีออนหน้าบ้านใช้หินขว้างมันซะเลย แบบขว้างระเบิด พอขว้างเสร็จ mob กระจาย อ้าวไม่กระจายได้ไง หลอดไฟตกใส่ก็เลือดอาบดิ ต่อมาก็เดินเตร็ดเตร่ไปหากระป๋องนม สมัยก่อนมีเยอะเอาไว้ใส่โอเลี้ยงเพียบ ไม่พอใจหมา เจอกระป๋องก็เตะอัดใส่หมาโอยยย สนุก แต่ไม่พอใจคนเตะใส่คงโดนตืบบ
แถวละแวกบ้านเมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านทำขลุ่ย ทำกันเยอะ ทุกวันนี้ก็ยังทำกันอยู่แต่เหลือไม่เยอะแล้ว จากขลุ่ยไม้ไผ่ กลายเป็นขลุ่ย pvc ไปซะแล้วตามยุคตามสมัย คนแก่ๆที่ทำ ก็เสียชีวิตไปกันเกือบหมด ที่เหลืออยู่ก็ทำไม่ไหว อยากรู้ว่าเขาทำขลุ่ยกันที่ไหน อยู่ที่หมู่บ้านลาว อยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละ อุปกรณ์สำคัญสำหรับว่าว คือ ไม้ไผ่ ก็ได้จากนี่แหละวัตถุดิบมีเต็มไปหมด สมัยก่อนขลุ่ยเขาใช้ไม่ไผ่ทำ พอได้ไม้ไผ่มาก็ต้องเอามาตาก ก็ตากกันแถวๆถนน ตรอก ซอก ซอย อยากยิบบ้องไหนก็หยิบ ตานี้สิ่งที่เสียเงิน เพราะคงหาเก็บไม่ได้ต้องไปซื้อมา ก็หนีไม่พ้น กระดาษทำว่าว มีสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว แล้ววัสดุอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือกาวหนังควายยยย เดี๋ยวนี้ไม่รู้หาซื้อที่ไหนได้อีก เห็นมีแต่กาวตราช้าง กาวชนิดนี้เป็นก้อนๆ สีน้ำตาลแก่ๆ เหม็นอย่าบอกใคร แต่รับรองติดได้ติดดี
ได้อุปกรณ์เรียบร้อย เดี๋ยวแยกแบบสูตรอาหารให้
1. ด้ายตราสมอ 1 หลอด
2. ผ้าขาวบาง หรือ ผ้ามุ้ง 1 ผืน
3. กระป๋องนมใช้แล้ว 1 กระป๋อง เอาตรามะลิ สมัยนั้นดังมากๆ นมตรามะลิ ใหม่และสด ทุกๆ หยด รสดีเสอม แล้วพวกสัปปะดน ก็เปลี่ยนเป็น นมตราอี ปอสระ.. ขาวข้น หวานมัน
4. หลอดนีออน ใช้แล้ว 1 หลอด
4.5 ไม้ไผ่
5. กระดาษทำว่าว
6. แป้งเปียก
7. ขาดไม่ได้ กาวหนังควาย

การทำว่าวว เราจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก ทำสายป่าน กับส่วนที่สอง ทำตัวว่าว ภาษาเด็กทำว่าว ส่วนใหญ่จะทำกันแต่ว่าวแขก

วิธีการทำป่าน ก่อนอื่นเอากระป๋องนมที่หาได้ มาทำเป็นครก เมื่อก่อนเคยเอาครกหินมาตำหลอดนีออน เพราะมันละเอียดเร็วดี แต่พอตกเย็นเท่านั้นแหละโดนฟาดก้นลาย เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ผู้ใหญ่เอาครกไปใช้ทำแกงส้มต่อ แกงเสร็จกินแกงส้มอะไรหว่าเผ็ดฉิบโป้ง แสบลิ้นไปหมด เคียวๆ ไปมีอะไรกุบๆกับๆ แถมเลือดออกอีก โดนซิแบบนี้ เลยต้องหันมาใช้กระป๋องนม พอต่ำเสร็จ อย่าเพิ่งทิ้ง เก็บไว้ recycle ต่อ เห็นหรือเปล่าเด็กสมัยก่อนรู้จักคำว่า recycle กันแล้ว
หลังจากตำจนละเอียด ก็จะได้ผงแก้วนีออนละเอียด นำเอามากรองด้วยมุ้ง หรือผ้าขาวบาง ร่อนเอาแต่ผงละเอียด จะได้ผงแบบผงแป้ง เสร็ยแล้วก็เก็บไว้ ผ้าขาวบางที่กรองก็เก็บไว้เดี๋ยวไปใช้อย่างอื่นต่อ ใช้คุ้มจริงๆ
ต่อมา ก่อไฟ เอาหินข้างๆมาทำเป็นเตา เอาไม้ไผ่ แถวๆนั้นแหละมาทำเป็นฟืน เอากระป๋องมาทำเป็นหม้อ ต้มน้ำ แล้วใส่กาวหนังควายลงไป คนๆๆๆ จนเป็นกาวเหนียวๆ ใส่ผงแก้วหลอดนีออนลงไป คนๆๆๆ จนเหนียวพอเหมาะ ขั้นต่อมา ต้องไปหาบ้านใครซักคนที่ใต้ถุนสูง พอดีที่บ้านตอนนั้นใต้ถุนบ้านสูง เป็นบ้านสมัยก่อน เขาเรียกว่าบ้านทรงมะลิลา ก็มองหาเสา เหมาะๆ สักสี่ต้น จากนั้นก็เอากาวที่เราทำไว้ ผสมผงหลอดนีออนมาแล้วเอาหลอดด้ายตราสมอ ไปจุ่มไว้ คนให้ผงนีออนไม่ตกตะกอน ผูกปลายได้ไว้กับเสา แล้วเอาผ้าขาวบางค่อยๆ รูดที่ด้ายน้ำกาวก็จะติดด้ายพร้อมกับผงแก้วนีออน ก็รูดแล้วก็เดินวนเสาสี่ต้นไปเรื่อย แบบขึงเชือกเวทีมวยลุมพินี ทำไปจนด้ายหมดม้วน เป็นอันเสร็จ ตานี้ก็ทิ้งไว้จนกาวแห้ง ก็จะได้สายป่านอันคมกริบ เสร็จแล้วก็หาๆๆๆ กระป๋องนมผงตราหมี สมัยก่อนโนน้ มีเยอะ เอาไว้ใส่น้ำกิน เป็นอะลูมิเนียม สูงๆ หยักๆเป็นลอนๆๆ ไม่ค่อยเห็นแล้ว อยากดูต้องไปร้านกาแฟ โอเลียงที่มีอาแป๊ะแก่ๆ ขาย ยังพอมีเหลือให้เห็นอยู่บ้าง เอากระป๋องมาทำอะไรเหรอ ก็เอามาทำเป็นแกนเก็บสายป่าน เพราะเวลาเราชักว่าว เราต้องตั้งกระป๋องขึ้น เวลาผ่อนสายป่านจะได้ทำได้อย่างคล่องตัว
วิธีการทำว่าว ก็เอาไม้ไผ่มาเหล่าๆๆ ให้ได้ขนาดพอเหมาะ สักสอง อัน เพื่อทำเป็นกระดูกว่าว เอาไม้มาผูกกันแบบไม้กางเขน อัตราส่วนการผูกนี่อยู่ที่ความชำนาญ ว่าเหลือหัวไว้มากน้อยเท่าไหร่ จำได้เล่าๆ ว่าผูกในตำแหน่ง 1 ใน 4 ของไม้ที่ทำแกนว่าว พอผูกเสร็จ ก็จะได้เป็นรูปไม้กางเขน ตานี้ก็ต้องเอาด้ายมาขึงขอบๆ ไม้กางเขน ก็จะได้เป็นสี่เหลี่ยม ขึงให้ไม้แอ่นลงด้านล่างเล็กน้อย พอได้โครงว่าวเสร็จก็เอาไปทาบกับกระดาษทำว่าว แล้วตัดๆ ให้เหลือขอบหน่อยๆ เพื่อจะได้พับแปะกาวแป้งเปียกกับด้ายที่ขึงไว้รอบๆ พอได้ว่าวเสร็จสรรพ ก็ทำหาง ว่าว เป็นอันเสร็จพิธี
ขั้นสุดท้ายว่าวจะขึ้นหรือไม่ อยู่ที่ตอนขึงว่าวกับสายป่าน ต้องมีความชำนาญว่าควรจะเจาะรูผูกตรงไหน แล้วควรจะเว้นไว้เท่าไหร่ ทำไปลองไป จนพอใจ
สุดท้ายก็เอาไปลองหาที่ว่างๆ ไกลๆ สายไฟหน่อย ทดสอบเสร็จ ก็ได้เวลา ระดมพล เพื่อไปก่อ mob ที่สนามหลวง
ยกพลขึ้นรถเมล์สาย 19 สนามหลวง ศิริราช วงเวียนเล็ก บ้านแขก .... ขึ้นได้เลยพี่ แล้วเราก็เข้าสู่เวทีการต่อสู้ของลูกผู้ช่ายด้วยวิธีการชักว่าว

สำหรับวิธีการไล่ mob สนามหลวง ง่ายนิดเดียว เปิดสนามหลวงให้เป็นตลาดนัดสุดสัปดาห์ แบบสมัยก่อน รับรอง mob เจอลองเจอกับแม่ค้า ไม่กระเจิงให้มันรู้ไป เพราะตอนวันหยุดช่วง ต้นปี ว่าวจะไม่ค่อยเห็น จะเห็นแต่แม่ค้าขายของแย่งพื้นที่ไปหมด คนก็เยอะแยะนัวเนีย เอ้าเร่เข้ามา อับดุลรู้ อับดุลเห็น ยุคไหนสมัยไหนก็มีของแหกตาทั้งนั้น

จบเรื่องว่าวไว้แค่นี้ สวัสดี

การนำตาราง .dbf ของ Visual FoxPro มาเปิดใช้งานบน SQL Server 2005

สำหรับท่านที่ใช้ตาราง dbf ในการเก็บข้อมูลต่างๆ แต่ยังไม่อยากขนย้ายข้อมูลทั้งหมดของท่านขึ้นไปไว้ยัง SQL Server 2005 แต่ต้องการนำข้อมูลที่เป็น dbf เหล่านั้นมาใช้งานบน SQL Server จำทำได้อย่างไร ?

วันนี้เราจะเมา (มา) เสนอวิธีการที่ทำให้ท่านเปิดใช้งาน dbf ภายใต้ sql server เออ เมาจริงๆ เขียนวกไปวนมา

วิธีการก็ไม่ยากไม่เย็นอะไร ก็แค่สร้าง view ใน SQL Server เพื่อไปดึง ตารางข้อมูล dbf มา ซึ่ง view ก็เหมือนเป็นทางผ่าน ส่วนขอมูลก็ถูกบันทึกไว้ใน dbf เหมือนเดิม

ตัวอย่างการสร้าง VIEW บน SQL Server 2005 ทำดังนี้

CREATE VIEW DBF_CUSTOMER
AS
SELECT * FROM OPENROWSET('MSDASQL','Driver=Microsoft Visual FoxPro Driver;SourceDB=c:\Test\data;SourceType=DBF','SELECT * FROM CUSTOMER')

จากคำสั่งข้างต้นจะเป็นการสร้างวิวโดยนำตาราง Customer.dbf ที่เก็บอยู่ภายใต้ floder ชื่อ c:\Test\data มาทำการสร้าง

สำหรับท่านที่มีตารางชื่ออ่านก็เปลี่ยนได้ตามต้องการ

การคิวรีข้อมูลด้วยคำสั่ง SELECT ก็ไม่มีอะไรมากมาก เช่น

SELECT * FROM DBF_CUSTOMER

ท่านก็จะเห็นกับข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Customer.dbf แสดงออกมา ง่ายไหม

แล้วถ้าต้องการ update ก็สั่งดุ่ยๆ

UPDATE DBF_CUSTOMER SET CUS_NAME = 'นายแสนดี' WHERE CUS_CODE = '0001'

เห็นไหมว่ามันง่ายๆๆๆๆ มากๆ

แล้ว insert ล่ะ ก็ไม่ยาก สำหรับการเพิ่มข้อมูลในส่วนของ values ต้องใส่ให้ครบทุกคอลัมน์น่ะ เดี๋ยว error ไม่รู้ด้วย เช่น

INSERT INTO DBF_CUSTOMER
VALUES('00999','นายขอบคุณ')

แล้ว Delete ล่ะ เขียนแบบนี้นะ

DELETE FROM DBF_Customer WHERE CUS_CODE = '00999'

เห็นไหม เห็นไหม การนำ dbf มาจัดการผ่าน SQL Server 2005 ไม่ยากอย่างที่คิด

ท่านก็สามารถนำไปเขียนด้วยภาษาเช่น VB, ASP.Net หรือ Visual FoxPro หรือ ภาษาใดๆก็ได้ผ่านทาง SQL Server จะขึ้น web หรือ ไปแนว Client/Server ก็ตามสะดวก

อ่านแล้วมาโม้

ปรกติเป็นคนชอบอ่าน อ่านแล้วไม่เคยจำ จำไม่ได้ว่าอ่านเล่มไหนมาบ้าง แล้วเล่มไหนที่เคยอ่านไปแล้วบ้าง
มีร้านหนังสืออยู่ร้านหนึ่งจำไม่ได้ว่าชื่อเรียงเสียงไร เขียนว่า "ขอแค่แวะเข้ามาอ่าน ก็ทำให้เราเบิกบานหัวใจ" ไม่ซื้อไม่ว่าข้าจะจำหน้าเอ็งไว้คราวหน้าเมื่อไหร่อย่าหวังเข้ามา อิๆๆ อันหลังนี่เพิ่มมาเอง
เวลาเราทำงานไปเรื่อย นับวันยิ่งอาวุโส ไปๆ เผลอแป๊บๆ กลายเป็นลุง เป็นป้า ไปซะงั้น ยิ่งทำงานด้าน computer เผลอแปบๆ ยี่สิบปีแล้วเหรอเนี่ย คลื่นลูกใหม่ก็ถาโถมเข้ามา แล้วเราก็กลายเป็นพนักงานรุ่นเก่า ที่ได้กลายเป็นพนักงานเบอร์ 1 (ที่จะถูกซองขาวอิๆๆ) แต่เรื่องอะไรเราจะเป็นเช่นนั้น ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เราต้องไม่มีคำว่า fear อยู่ในใจ แต่ถ้าเป็นมาเฟียได้จะดีมาก แต่ไม่เป็นจะดีกว่า ดังนั้นเราต้องตั้งสติ แล้วใส่สตางค์เข้ากระเป๋า สองเท้าก้าวเดิน แล้วท่องคำว่า เป้าหมายๆๆๆๆ แล้วก็คิดต่อไปถึงเป้าหมายข้างหน้า เคยเห็นพวกสัตว์ป่ามันอพยบไหม มันยังมีเป้าหมายที่มันไป ถึงแม้จะมีอันตรายล้มตายไปไม่น้อย มันก็ยังไปจนถึง ท่านละมีเป้าหมายหรือยัง

เป้าหมายทำให้เกิดแรงจูงใจ แรงจูงใจทำให้เกิดความคิด ความคิดทำให้เกิดปัญญา แล้วปัญหาก็ตามมา อิๆๆๆ คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง มันก็มีแต่ปัญหา ดังคำกล่าวที่ว่า "ชีวิตคือกระบวนการแก้ปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น" ปัญหาหนึ่งหมดไป ปัญหาใหม่มันก็เข้ามา ดังนั้นเราต้องใช้สติ ก่อนแก้ปัญหา เพราะทุกปัญหามีทางออก ปัญหากว่าร้อยละ 99.99 เราสามารถแก้ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนั้นอย่ามัวทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องอยาก คิดสักนิดก่อนตัดสินใจ ถึงแม้บางอย่างที่ตัดสินใจทำไปแล้ว ล้มเหลว ก็ตั้งหลักใหม่ได้ นักประพันธ์ชาวไอริชท่านนึงได้กล่าวไว้ว่า "9 ใน 10 สิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นประสบแต่ความล้มเหลว แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะเป็นผู้แพ้ ดังนั้นเขาจึงทำงานเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า" หรือ คำที่เราคุ้นๆหูของฝรั่งท่านหนึ่ง ชื่อ ลอยด์ เจมส์ ได้กล่าวว่า "บุคคลที่พยายามทำบางสิ่งบางอย่างแล้วล้มเหลว ย่อมดีกว่า คนที่ไม่ได้พยายามทำอะไรเลยและประสบความสำเร็จ"

ไมเคิล แองเจลโล ได้วาดภาพไว้ที่ใต้หลังคาโบสถ์ เขาจะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แม้คนที่อยู่ด้านล่างจะมองขึ้นไปไม่เห็นรายละเอียดเหล่านั้นก็ตาม เพื่อนของเขาเคยถามว่า จะมีใครรู้บ้างไหมว่าภาพเหล่านั้นมันสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติ ไมเคิล ตอบว่า คนอื่นไม่รู้แต่ผมรู้ (เข้าทำนองว่าทำอะไรลงไปถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจ ทำดี ใจเราก็จะมีแต่สิ่งดีๆ แต่ถ้าทำชั่วเราก็ไม่สบายใจ)

งานโดยเฉพาะงานด้านการเขียนโปรแกรม เราสามารถเขียนให้เสร็จเพื่อที่จะพอให้สามารถใช้งานได้ หรือจะเขียนในแบบที่หาบักไม่ค่อยเจอ (เขียนโปรแกรมต่อให้เขียนเก่งขนาดไหนบักก็ต้องมี ถ้าไม่มีเขาไม่เรียกโปรแกรม เขาเรียก hello world) งานดีไม่ดี มันขึ้นอยู่ที่แรงจูงใจ ถ้าเรามีความพอใจ ตั้งใจในงานที่ทำ ผลงานก็ออกมาดี ยิ่งถ้าเราเขียนโปรแกรมแล้วเห็นผู้ใช้นั่งทำงานโดยใช้โปรแกรมที่เราทำ เราก็ยิ่งมีกำลังใจเป็นเท่าทวีคูณ แล้ววันนั้นคุณมีบ้างหรือยัง

มีนักเขียนโปรแกรมหลายต่อหลายคน เขียนโปรแกรมโดยไม่มีจรรยาบรร บางคนเป็นลูกจ้างของ บริษัท เขียนโปรแกรมให้ บริษัท ใช้งาน แต่เมื่อตัวเองออกไปด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม บางท่านล้างแค้นด้วยการไม่ทิ้ง source code แถมตั้งเวลา lock ระบบอีกต่างหาก หรือไม่บางคนแสบยิ่งกว่า แอบลบข้อมูล อันนี้ไม่รู้จะด่าว่าอย่างไร คนเราถ้าไม่มีจรรยาบรรณในอาชีพ ก็อย่ามาทำอาชีพนั้นเลย จริงไหม?

วันนี้เมื่อยแล้ว ๆ จะมาโม้ (ด่า) ต่อ
"I Believe in You"

Copyright(c) 2007 - 2022 by Kasem Kamolchaipisit.