16 พฤษภาคม 2550

อ่านแล้วมาโม้

ปรกติเป็นคนชอบอ่าน อ่านแล้วไม่เคยจำ จำไม่ได้ว่าอ่านเล่มไหนมาบ้าง แล้วเล่มไหนที่เคยอ่านไปแล้วบ้าง
มีร้านหนังสืออยู่ร้านหนึ่งจำไม่ได้ว่าชื่อเรียงเสียงไร เขียนว่า "ขอแค่แวะเข้ามาอ่าน ก็ทำให้เราเบิกบานหัวใจ" ไม่ซื้อไม่ว่าข้าจะจำหน้าเอ็งไว้คราวหน้าเมื่อไหร่อย่าหวังเข้ามา อิๆๆ อันหลังนี่เพิ่มมาเอง
เวลาเราทำงานไปเรื่อย นับวันยิ่งอาวุโส ไปๆ เผลอแป๊บๆ กลายเป็นลุง เป็นป้า ไปซะงั้น ยิ่งทำงานด้าน computer เผลอแปบๆ ยี่สิบปีแล้วเหรอเนี่ย คลื่นลูกใหม่ก็ถาโถมเข้ามา แล้วเราก็กลายเป็นพนักงานรุ่นเก่า ที่ได้กลายเป็นพนักงานเบอร์ 1 (ที่จะถูกซองขาวอิๆๆ) แต่เรื่องอะไรเราจะเป็นเช่นนั้น ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เราต้องไม่มีคำว่า fear อยู่ในใจ แต่ถ้าเป็นมาเฟียได้จะดีมาก แต่ไม่เป็นจะดีกว่า ดังนั้นเราต้องตั้งสติ แล้วใส่สตางค์เข้ากระเป๋า สองเท้าก้าวเดิน แล้วท่องคำว่า เป้าหมายๆๆๆๆ แล้วก็คิดต่อไปถึงเป้าหมายข้างหน้า เคยเห็นพวกสัตว์ป่ามันอพยบไหม มันยังมีเป้าหมายที่มันไป ถึงแม้จะมีอันตรายล้มตายไปไม่น้อย มันก็ยังไปจนถึง ท่านละมีเป้าหมายหรือยัง

เป้าหมายทำให้เกิดแรงจูงใจ แรงจูงใจทำให้เกิดความคิด ความคิดทำให้เกิดปัญญา แล้วปัญหาก็ตามมา อิๆๆๆ คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง มันก็มีแต่ปัญหา ดังคำกล่าวที่ว่า "ชีวิตคือกระบวนการแก้ปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น" ปัญหาหนึ่งหมดไป ปัญหาใหม่มันก็เข้ามา ดังนั้นเราต้องใช้สติ ก่อนแก้ปัญหา เพราะทุกปัญหามีทางออก ปัญหากว่าร้อยละ 99.99 เราสามารถแก้ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนั้นอย่ามัวทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องอยาก คิดสักนิดก่อนตัดสินใจ ถึงแม้บางอย่างที่ตัดสินใจทำไปแล้ว ล้มเหลว ก็ตั้งหลักใหม่ได้ นักประพันธ์ชาวไอริชท่านนึงได้กล่าวไว้ว่า "9 ใน 10 สิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นประสบแต่ความล้มเหลว แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะเป็นผู้แพ้ ดังนั้นเขาจึงทำงานเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า" หรือ คำที่เราคุ้นๆหูของฝรั่งท่านหนึ่ง ชื่อ ลอยด์ เจมส์ ได้กล่าวว่า "บุคคลที่พยายามทำบางสิ่งบางอย่างแล้วล้มเหลว ย่อมดีกว่า คนที่ไม่ได้พยายามทำอะไรเลยและประสบความสำเร็จ"

ไมเคิล แองเจลโล ได้วาดภาพไว้ที่ใต้หลังคาโบสถ์ เขาจะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แม้คนที่อยู่ด้านล่างจะมองขึ้นไปไม่เห็นรายละเอียดเหล่านั้นก็ตาม เพื่อนของเขาเคยถามว่า จะมีใครรู้บ้างไหมว่าภาพเหล่านั้นมันสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติ ไมเคิล ตอบว่า คนอื่นไม่รู้แต่ผมรู้ (เข้าทำนองว่าทำอะไรลงไปถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจ ทำดี ใจเราก็จะมีแต่สิ่งดีๆ แต่ถ้าทำชั่วเราก็ไม่สบายใจ)

งานโดยเฉพาะงานด้านการเขียนโปรแกรม เราสามารถเขียนให้เสร็จเพื่อที่จะพอให้สามารถใช้งานได้ หรือจะเขียนในแบบที่หาบักไม่ค่อยเจอ (เขียนโปรแกรมต่อให้เขียนเก่งขนาดไหนบักก็ต้องมี ถ้าไม่มีเขาไม่เรียกโปรแกรม เขาเรียก hello world) งานดีไม่ดี มันขึ้นอยู่ที่แรงจูงใจ ถ้าเรามีความพอใจ ตั้งใจในงานที่ทำ ผลงานก็ออกมาดี ยิ่งถ้าเราเขียนโปรแกรมแล้วเห็นผู้ใช้นั่งทำงานโดยใช้โปรแกรมที่เราทำ เราก็ยิ่งมีกำลังใจเป็นเท่าทวีคูณ แล้ววันนั้นคุณมีบ้างหรือยัง

มีนักเขียนโปรแกรมหลายต่อหลายคน เขียนโปรแกรมโดยไม่มีจรรยาบรร บางคนเป็นลูกจ้างของ บริษัท เขียนโปรแกรมให้ บริษัท ใช้งาน แต่เมื่อตัวเองออกไปด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม บางท่านล้างแค้นด้วยการไม่ทิ้ง source code แถมตั้งเวลา lock ระบบอีกต่างหาก หรือไม่บางคนแสบยิ่งกว่า แอบลบข้อมูล อันนี้ไม่รู้จะด่าว่าอย่างไร คนเราถ้าไม่มีจรรยาบรรณในอาชีพ ก็อย่ามาทำอาชีพนั้นเลย จริงไหม?

วันนี้เมื่อยแล้ว ๆ จะมาโม้ (ด่า) ต่อ

1 ความคิดเห็น:

Charin Nawaritloha กล่าวว่า...

อ่านแล้วสนุกดีครับ ได้ข้อคิดหลายอย่าง...


ผมก็คิดอย่างนั้นนะครับ ผมทำงานมาได้ 7 ปี เจอเพื่อนร่วมงานดีๆ อยากเก็บไว้หลายคน แต่ที่เจอพวกที่ไม่น่าจะมาทำสายอาชีพนี้ก็เยอะ รับงานต่อมาเหมือนเอาปัญหามาให้แก้เลย- "จรรยาบรรณ" เดี๋ยวนี้เงินมาก่อนครับจรรยาบรรณมาทีหลัง ได้เงินแล้วลูกค้าก็ช่างมัน

"I Believe in You"

Copyright(c) 2007 - 2022 by Kasem Kamolchaipisit.